แนวทาง/กรอบ/คู่มือการบริหารความเสี่ยงขององค์กร

มีนาคม 31, 2009

ครั้งก่อนผมได้กล่าวถึง แนวทางของการระบุปัจจัยเสี่ยงและเครื่องมือที่ใช้วัดการระบุปัจจัยเสี่ยงไปแล้ว ครั้งนี้เราจะมาดูกันว่า โครงสร้างของการบริหารความเสี่ยงประกอบไปด้วยใครกันบ้าง และในแต่ละคน/แต่ละส่วนงานมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยงอย่างไรกันบ้าง ซึ่งผมจะพูดถึงบทบาทและความรับผิดชอบหลักของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบริหารความเสี่ยง โดยจะแบ่งเป็นหัวข้อ ๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย เรามาดูกันต่อเลยครับ

โครงสร้างการบริหารความเสี่ยง
โครงสร้างของการบริหารความเสี่ยง ไม่มีรูปแบบที่เป็นมาตรฐานเพียงแบบเดียว แต่ต้องมีการปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร โดยจะพิจารณาได้จากวัฒนธรรม ความซับซ้อนของการดำเนินงาน ประเภทและลักษณะขององค์กรเป็นองค์ประกอบ สิ่งสำคัญของโครงสร้างการบริหารความเสี่ยง คือการที่คณะกรรมการและผู้บริหารทุกระดับมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาการบริหารความเสี่ยงขององค์กร

โครงสร้างการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิผลขององค์กรจะช่วยในการประเมิน ควบคุมและติดตามความเสี่ยงของแต่ละหน่วยงาน และทำให้เกิดความมั่นใจว่าการปฏิบัติงานในการบริหารความเสี่ยงโดยทุกคนในองค์กรอยู่ภายใต้กรอบเดียวกัน

โครงสร้างการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิผลประกอบด้วย
– คณะกรรมการที่มีความรับผิดชอบโดยตรงในการกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยง
– คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงที่ได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ในการพัฒนาการบริหารความเสี่ยงอย่างน้อยควรประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงขององค์กร เช่น กรรมการผู้จัดการ และรองกรรมการผู้จัดการ
– หน่วยงานหรือผู้รับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยงที่รับผิดชอบในการนำเอาวิสัยทัศน์ขององค์กรในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงไปกำหนดเป็นนโยบายและวิธีการปฏิบัติ

อย่างที่ได้กล่าวไปในช่วงต้นแล้วว่า โครงสร้างของการบริหารความเสี่ยง ไม่มีรูปแบบที่เป็นมาตรฐานตายตัว แต่ต้องมีการปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร ดังนั้น ผมจึงขอนำแผนภาพที่เป็นตัวอย่างของโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงมาให้ดูกันครับ

โครงสร้างการบริหารความเสี่ยงขององค์กร

โครงสร้างการบริหารความเสี่ยงขององค์กร

การพัฒนาโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นทางการ จะทำให้ผู้บริหารและพนักงานในหน่วยงานต่าง ๆ มีความเข้าใจในหน้าที่และความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยง ซึ่งมีผลให้เกิดการตัดสินใจที่ถูกต้อง ทันเวลา ป้องกันความสูญเสียและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้แก่องค์กร

การพัฒนาโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงต้องการความรับผิดชอบและความร่วมมือจากทุกคนดังนี้
– คณะกรรมการ
– คณะกรรมการตรวจสอบ
– คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง
– ผู้บริหารระดับสูง
– หน่วยงานหรือผู้รับผิดชอบการบริหารความเสี่ยง
– ผู้ตรวจสอบภายใน
– หัวหน้างานและพนักงาน

บทบาทและความรับผิดชอบหลักของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบริหารความเสี่ยง
คณะกรรมการ
– จะต้องเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจมีผลกระทบร้ายแรงต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร และทำให้มั่นใจว่ามีการดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อจัดการความเสี่ยงนั้น ๆ

คณะกรรมการตรวจสอบ
– ต้องทำให้มั่นใจว่ามีการควบคุมภายในองค์กรที่เหมาะสมเพื่อจัดการความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร
– มีหน้าที่กำกับดูแลและติดตามการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นอิสระ
– ติดตามประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานตรวจสอบภายใน
– รายงานต่อคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการควบคุมภายในองค์กร
– คณะกรรมการตรวจสอบมีการสื่อสารกับคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้เข้าใจความเสี่ยงที่สำคัญและเชื่อมโยงให้สอดคล้องกับการควบคุมภายใน

คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง
– มีหน้าที่ในการพิจารณาและอนุมัตินโยบายและกรอบการบริหารความเสี่ยง
– ติดตามการพัฒนากรอบการบริหารความเสี่ยง
– ติดตามกระบวนการบ่งชี้และการประเมินความเสี่ยง
– ประเมินและอนุมัติแผนการจัดการความเสี่ยง
– รายงานต่อคณะกรรมการเกี่ยวกับความเสี่ยง และการจัดการความเสี่ยง
– มีการสื่อสารกับคณะกรรมการตรวจสอบเกี่ยวกับความเสี่ยงที่สำคัญ

กรรมการผู้จัดการหรือ ผู้อำนวยการ
– มีหน้าที่ติดตามความเสี่ยงที่สำคัญทั้งองค์กร และทำให้มั่นใจได้ว่ามีแผนการจัดการกับความเสี่ยงที่เหมาะสม
– ส่งเสริมนโยบายการบริหารความเสี่ยง และทำให้มั่นใจว่ากระบวนการบริหารความเสี่ยงได้รับการปฏิบัติทั่วทั้งองค์กร

รองกรรมการผู้จัดการ หรือ รองผู้อำนวยการ
– ต้องติดตามความเสี่ยงทางกลยุทธ์และความเสี่ยงด้านการปฏิบัติการที่สำคัญ และทำให้มั่นใจได้ว่ามีแผนการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม
– ส่งเสริมวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยง และทำให้มั่นใจได้ว่าผู้อำนวยการฝ่ายให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงในฝ่ายของตน

ผู้อำนวยการฝ่าย
– ต้องทำให้มั่นใจว่าการปฏิบัติงานรายวันมีการประเมิน จัดการและรายงานความเสี่ยงอย่างเพียงพอ
– มีการส่งเสริมพนักงานในฝ่ายให้ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง

หัวหน้างานหรือพนักงาน
– มีหน้าที่ระบุและรายงานความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานต่อผู้อำนวยการฝ่าย และเข้าร่วมในการจัดทำแผนจัดการความเสี่ยง และนำแผนไปปฏิบัติ

หน่วยงานหรือผู้รับผิดชอบการบริหารความเสี่ยง
– ต้องปฏิบัติหน้าที่ประจำวันแทนคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง
– จัดทำนโยบายความเสี่ยง กรอบและกระบวนการให้กับหน่วยงานและเสนอคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงเพื่ออนุมัติ
– มีหน้าที่ให้การสนับสนุน และแนะนำกระบวนการบริหารความเสี่ยง แก่หน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์กรตามที่มีการร้องขอ

ผู้ตรวจสอบภายใน
– ต้องทำให้มั่นใจว่ามีการควบคุมภายในองค์กรที่เหมาะสมต่อการจัดการความเสี่ยง และการควบคุมเหล่านั้นได้รับการปฏิบัติตาม
– ทำให้มั่นใจว่าได้มีการนำระบบการบริหารความเสี่ยงมาปรับใช้อย่างเหมาะสมและมีการปฏิบัติตามทั่วทั้งองค์กร
– มีการสอบทานการปฏิบัติงานของหน่วยงานการบริหารความเสี่ยง
– ต้องสื่อสารกับหน่วยงานการบริหารความเสี่ยงเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยง และดำเนินการตรวจสอบภายในตามแนวความเสี่ยง (Risk Based Auditing)

ถึงแม้ว่าจะมีการกำหนดบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้เกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยงไว้อย่างชัดเจนแล้วก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม องค์กรทั่วไปควรกำหนดให้การบริหารความเสี่ยงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของผู้บริหารและพนักงานทุกระดับ และให้มีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การบริหารความเสี่ยงประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ผมจะขอทิ้งท้ายด้วยภาพของบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้บริหารความเสี่ยง ดังที่ได้อธิบายในข้างต้นไว้ให้ได้ชมกันครับ

บทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้บริหารความเสี่ยง

บทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้บริหารความเสี่ยง


แนวทาง/กรอบ/คู่มือการบริหารความเสี่ยงขององค์กร

มีนาคม 31, 2009

ครั้งก่อนผมได้กล่าวถึง แนวทางของการระบุปัจจัยเสี่ยงและเครื่องมือที่ใช้วัดการระบุปัจจัยเสี่ยงไปแล้ว ครั้งนี้เราจะมาดูกันว่า โครงสร้างของการบริหารความเสี่ยงประกอบไปด้วยใครกันบ้าง และในแต่ละคน/แต่ละส่วนงานมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยงอย่างไรกันบ้าง ซึ่งผมจะพูดถึงบทบาทและความรับผิดชอบหลักของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบริหารความเสี่ยง โดยจะแบ่งเป็นหัวข้อ ๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย เรามาดูกันต่อเลยครับ

โครงสร้างการบริหารความเสี่ยง
โครงสร้างของการบริหารความเสี่ยง ไม่มีรูปแบบที่เป็นมาตรฐานเพียงแบบเดียว แต่ต้องมีการปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร โดยจะพิจารณาได้จากวัฒนธรรม ความซับซ้อนของการดำเนินงาน ประเภทและลักษณะขององค์กรเป็นองค์ประกอบ สิ่งสำคัญของโครงสร้างการบริหารความเสี่ยง คือการที่คณะกรรมการและผู้บริหารทุกระดับมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาการบริหารความเสี่ยงขององค์กร

โครงสร้างการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิผลขององค์กรจะช่วยในการประเมิน ควบคุมและติดตามความเสี่ยงของแต่ละหน่วยงาน และทำให้เกิดความมั่นใจว่าการปฏิบัติงานในการบริหารความเสี่ยงโดยทุกคนในองค์กรอยู่ภายใต้กรอบเดียวกัน

โครงสร้างการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิผลประกอบด้วย
– คณะกรรมการที่มีความรับผิดชอบโดยตรงในการกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยง
– คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงที่ได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ในการพัฒนาการบริหารความเสี่ยงอย่างน้อยควรประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงขององค์กร เช่น กรรมการผู้จัดการ และรองกรรมการผู้จัดการ
– หน่วยงานหรือผู้รับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยงที่รับผิดชอบในการนำเอาวิสัยทัศน์ขององค์กรในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงไปกำหนดเป็นนโยบายและวิธีการปฏิบัติ

อย่างที่ได้กล่าวไปในช่วงต้นแล้วว่า โครงสร้างของการบริหารความเสี่ยง ไม่มีรูปแบบที่เป็นมาตรฐานตายตัว แต่ต้องมีการปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร ดังนั้น ผมจึงขอนำแผนภาพที่เป็นตัวอย่างของโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงมาให้ดูกันครับ

โครงสร้างการบริหารความเสี่ยงขององค์กร

โครงสร้างการบริหารความเสี่ยงขององค์กร

การพัฒนาโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นทางการ จะทำให้ผู้บริหารและพนักงานในหน่วยงานต่าง ๆ มีความเข้าใจในหน้าที่และความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยง ซึ่งมีผลให้เกิดการตัดสินใจที่ถูกต้อง ทันเวลา ป้องกันความสูญเสียและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้แก่องค์กร

การพัฒนาโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงต้องการความรับผิดชอบและความร่วมมือจากทุกคนดังนี้
– คณะกรรมการ
– คณะกรรมการตรวจสอบ
– คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง
– ผู้บริหารระดับสูง
– หน่วยงานหรือผู้รับผิดชอบการบริหารความเสี่ยง
– ผู้ตรวจสอบภายใน
– หัวหน้างานและพนักงาน

บทบาทและความรับผิดชอบหลักของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบริหารความเสี่ยง
คณะกรรมการ
– จะต้องเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจมีผลกระทบร้ายแรงต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร และทำให้มั่นใจว่ามีการดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อจัดการความเสี่ยงนั้น ๆ

คณะกรรมการตรวจสอบ
– ต้องทำให้มั่นใจว่ามีการควบคุมภายในองค์กรที่เหมาะสมเพื่อจัดการความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร
– มีหน้าที่กำกับดูแลและติดตามการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นอิสระ
– ติดตามประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานตรวจสอบภายใน
– รายงานต่อคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการควบคุมภายในองค์กร
– คณะกรรมการตรวจสอบมีการสื่อสารกับคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้เข้าใจความเสี่ยงที่สำคัญและเชื่อมโยงให้สอดคล้องกับการควบคุมภายใน

คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง
– มีหน้าที่ในการพิจารณาและอนุมัตินโยบายและกรอบการบริหารความเสี่ยง
– ติดตามการพัฒนากรอบการบริหารความเสี่ยง
– ติดตามกระบวนการบ่งชี้และการประเมินความเสี่ยง
– ประเมินและอนุมัติแผนการจัดการความเสี่ยง
– รายงานต่อคณะกรรมการเกี่ยวกับความเสี่ยง และการจัดการความเสี่ยง
– มีการสื่อสารกับคณะกรรมการตรวจสอบเกี่ยวกับความเสี่ยงที่สำคัญ

กรรมการผู้จัดการหรือ ผู้อำนวยการ
– มีหน้าที่ติดตามความเสี่ยงที่สำคัญทั้งองค์กร และทำให้มั่นใจได้ว่ามีแผนการจัดการกับความเสี่ยงที่เหมาะสม
– ส่งเสริมนโยบายการบริหารความเสี่ยง และทำให้มั่นใจว่ากระบวนการบริหารความเสี่ยงได้รับการปฏิบัติทั่วทั้งองค์กร

รองกรรมการผู้จัดการ หรือ รองผู้อำนวยการ
– ต้องติดตามความเสี่ยงทางกลยุทธ์และความเสี่ยงด้านการปฏิบัติการที่สำคัญ และทำให้มั่นใจได้ว่ามีแผนการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม
– ส่งเสริมวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยง และทำให้มั่นใจได้ว่าผู้อำนวยการฝ่ายให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงในฝ่ายของตน

ผู้อำนวยการฝ่าย
– ต้องทำให้มั่นใจว่าการปฏิบัติงานรายวันมีการประเมิน จัดการและรายงานความเสี่ยงอย่างเพียงพอ
– มีการส่งเสริมพนักงานในฝ่ายให้ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง

หัวหน้างานหรือพนักงาน
– มีหน้าที่ระบุและรายงานความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานต่อผู้อำนวยการฝ่าย และเข้าร่วมในการจัดทำแผนจัดการความเสี่ยง และนำแผนไปปฏิบัติ

หน่วยงานหรือผู้รับผิดชอบการบริหารความเสี่ยง
– ต้องปฏิบัติหน้าที่ประจำวันแทนคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง
– จัดทำนโยบายความเสี่ยง กรอบและกระบวนการให้กับหน่วยงานและเสนอคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงเพื่ออนุมัติ
– มีหน้าที่ให้การสนับสนุน และแนะนำกระบวนการบริหารความเสี่ยง แก่หน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์กรตามที่มีการร้องขอ

ผู้ตรวจสอบภายใน
– ต้องทำให้มั่นใจว่ามีการควบคุมภายในองค์กรที่เหมาะสมต่อการจัดการความเสี่ยง และการควบคุมเหล่านั้นได้รับการปฏิบัติตาม
– ทำให้มั่นใจว่าได้มีการนำระบบการบริหารความเสี่ยงมาปรับใช้อย่างเหมาะสมและมีการปฏิบัติตามทั่วทั้งองค์กร
– มีการสอบทานการปฏิบัติงานของหน่วยงานการบริหารความเสี่ยง
– ต้องสื่อสารกับหน่วยงานการบริหารความเสี่ยงเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยง และดำเนินการตรวจสอบภายในตามแนวความเสี่ยง (Risk Based Auditing)

ถึงแม้ว่าจะมีการกำหนดบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้เกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยงไว้อย่างชัดเจนแล้วก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม องค์กรทั่วไปควรกำหนดให้การบริหารความเสี่ยงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของผู้บริหารและพนักงานทุกระดับ และให้มีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การบริหารความเสี่ยงประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ผมจะขอทิ้งท้ายด้วยภาพของบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้บริหารความเสี่ยง ดังที่ได้อธิบายในข้างต้นไว้ให้ได้ชมกันครับ

บทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้บริหารความเสี่ยง

บทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้บริหารความเสี่ยง


ความเข้าใจของผู้บริหารและผู้ตรวจสอบที่เกี่ยวข้องกับความถูกต้องและความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูล (Integrity of the Information for Auditor & AC)

มีนาคม 31, 2009

เมื่อวันสองวันก่อน ผมได้เขียนถึงความน่าเชื่อถือของข้อมูลกับกระบวนการตรวจสอบ และข้อสังเกตเบื้องต้นไประดับหนึ่งแล้ว ขอพูดต่อในวันนี้นะครับว่า หลักการของ Corporate Governance (CG) ซึ่งแยกกันไม่ได้กับหลักการของ IT Governance (ITG) เพื่อขับเคลื่อนองค์ประกอบของการกำกับดูแลกิจการที่ดีในภาพรวมนั้น ไม่ค่อยได้มีการกล่าวถึงกันมากนักในอดีต

แต่ในปัจจุบัน การประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการดำเนินงาน และการจัดการกับข้อมูลจำนวนมหาศาล และเพื่อให้มีการปฏิบัติตามระเบียบ กฎเกณฑ์ มาตรฐานต่าง ๆ ที่กำหนดโดยหน่วยงานกำกับภาครัฐ และตามมาตรฐานสากลนั้น ผู้บริหารและผู้ตรวจสอบจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะเข้าใจกระบวนประมวลข้อมูลเพื่อให้ได้สารสนเทศ เพื่อการจัดการและการตรวจสอบจากระบบคอมพิวเตอร์ และควรจะเข้าใจต่อไปด้วยว่า กระบวนการควบคุมภายในตามฐานความเสี่ยง และการตรวจสอบตามฐานความเสี่ยง เป็นทั้งหน้าที่และความรับผิดชอบของคณะกรรมการ และผู้บริหารระดับสูงของทุกองค์กร

กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน สภานักบัญชี ก็ได้มีกฎเกณฑ์และแนวทางในการกำหนดให้องค์กรที่ใช้คอมพิวเตอร์ (แม้จะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวก็ตาม) ต้องจัดให้มีผู้ตรวจสอบภายในที่มีศักยภาพในการตรวจสอบทางด้าน IT ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมทางด้าน General Control และ Application Cotrol รวมทั้งองค์ประกอบต่าง ๆ ของความสมบูรณ์ของข้อมูลและสารสนเทศ 7 ประการ (Information Criteria) ซึ่งผมใคร่ขออนุญาตที่จะกล่าวซ้ำก็คือ
1. Effectiveness
2. Efficiency
3. Confidentiality
4. Integrity
5. Availability
6. Reliability
7. Compliance

ซึ่งผู้บริหารจะต้องจัดให้มีกระบวนการตรวจสอบในเรื่องของความเชื่อถือได้ของข้อมูล รวมถึงประสิทธิผล ประสิทธิภาพของข้อมูลในการที่จะนำมาบริหารการตรวจสอบต่อไป ดังนั้น ความเข้าใจในภาพโดยรวมของที่มาของข้อมูลและสารสนเทศ เพื่อการบริหารและการตรวจสอบ จึงจำเป็นที่ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ผมขอแสดงภาพที่มาจาก ISACA ซึ่งเป็นแผนภาพที่อธิบายได้ชัดเจน ดังนี้

Integrity of the Information & Audit Process, IT & Non - IT

Integrity of the Information & Audit Process, IT & Non - IT

ผมขอสรุปเรื่องความสำคัญของข้อมูลและสารสนเทศเพื่อการตรวจสอบ ดังนี้นะครับ
1. สารสนเทศที่มีคุณลักษณะที่ดีตามหลักการของ IT Governance ทั้ง 7 องค์ประกอบตามที่กล่าวข้างต้น จะมีประโยชน์ในมุมมองที่เกี่ยวข้องกับ Intangible Assets ซึ่งก็ได้แก่สินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน ส่วนใหญ่ก็ได้แก่ สารสนเทศนั่นเอง จากการสำรวจของสถาบันที่มีชื่อเสียง เมื่อประมาณ ปี 1999 พบว่า สินทรัพย์ที่มีคุณค่าที่สุดในทุกบริษัทที่มีความเข้าใจถึงผลกระทบของความเสี่ยงที่มีผลต่อความน่าเชื่อถือ (Trust) ที่เกิดจาก Value ขององค์กร ซึ่งก็คือ Intangible Assets สามารถสร้างคุณค่าเพิ่มและสร้างความโปร่งใส รวมทั้งสร้างกระบวนการที่สามารถวางระบบการควบคุมภายในที่โดยรวม ๆ แล้วเป็นหลักประกัน (Assurance) ให้เกิดความน่าเชื่อถือต่อการกำกับดูแลกิจการที่ดี สิ่งนั้นก็คือ ข้อมูลและสารสนเทศที่น่าเชื่อถือได้ (Integrity of the Information)

2. กลไกหรือกระบวนการกำกับดูแลกิจการที่ดีทางด้านการควบคุมภายในของทุกองค์กร ที่ต้องการให้เกิดความน่าเชื่อถือได้ของสารสนเทศก็คือ การใช้ Best Practice ในเรื่อง IT Governance ที่นำกรอบของการควบคุมกระบวนการ (Management Processes) ที่ดีมาใช้ในการสร้างความน่าเชื่อถือได้ของสารสนเทศ ซึ่งหากองค์กรใดทำได้จริงและเป็นรูปธรรมก็สามารถจะลด Audit Risk ลงได้ในระดับที่น่าพึงพอใจมาก

Integrity of the Information & Audit Process, IT & Non - IT_ ITG-COSO Based

Integrity of the Information & Audit Process, IT & Non - IT_ ITG-COSO Based

3. ภาครัฐของทุกประเทศจึงต้องกำหนดให้มีการตรวจสอบภาคบังคับที่เกี่ยวข้องกับการรับรองงบการเงิน และแน่นอนว่าผู้ตรวจสอบต้องสอบทานความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูลเป็นเบื้องต้น และจะต้องสอบทานจุดอ่อนของกระบวนการควบคุมภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จุดอ่อนที่เกิดจากการควบคุมทางด้าน IS หรือ IT Security ที่อาจเกิดจากการบริหารและการจัดการที่อ่อนแอ โดยฝ่ายบริหารจัดให้มีระบบการควบคุมภายในที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การควบคุมระบบที่ได้ข้อมูลมาจากการประมวลผลทางด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้สารสนเทศไม่โปร่งใส ไม่น่าเชื่อถือ ผู้ลงทุนตัดสินใจจากฐานข้อมูลที่ผิดพลาด รวมทั้งการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากกระบวนการควบคุมภายในที่อ่อนแอนั้น ซึ่งมีตัวอย่างมากมายทั้งในอดีตและปัจจุบัน

4. ข่าวดีหรือข่าวร้ายขึ้นกับมุมมองของผู้ที่เกี่ยวข้องก็คือ กระบวนการควบคุมภายในภายใต้หลักการของ COBIT ภายใต้ร่มใหญ่ของ IT Governance นั้น จะต้องถูกประมวลและต้องพิจารณาเป็นกระบวนการหนึ่งของการตรวจสอบ ที่จะมีผลต่อรายงานทางการเงินและรายงานประเภทต่าง ๆ ที่เกิดจากการประมวลผลทางด้าน IT

ผมใคร่ขอยกตัวอย่างความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงระหว่างการควบคุมงานทางด้าน IT กับการบริหารความเสี่ยงในระดับองค์กรของ COSO บางประการ เฉพาะองค์ประกอบหลักเรื่องแรกคือ การวางแผนการจัดองค์กร และการกำหนดทิศทางของเทคโนโลยีสารสนเทศ แสดงเป็นแผนภาพดังนี้

Statutory Audit and ITG_COSO & ITG_COBIT-Domain PO

Statutory Audit and ITG_COSO & ITG_COBIT-Domain PO

ท่านคณะกรรมการ ท่านผู้บริหาร และผู้ตรวจสอบที่มีโอกาสได้เห็นแผนภาพแทนคำอธิบายโดยลายลักษณ์อักษรอย่างละเอียด ซึ่งบางกรณีอาจเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ประกอบกับคำอธิบายสั้น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ท่านเกิดความคิดและจิตนาการถึงผลกระทบของความไม่ถูกต้อง ความไม่น่าเชื่อถือได้ของข้อมูล ความไม่ทันกาลของข้อมูล ความไม่พร้อมในการเรียกมาใช้ในการบริหาร การจัดการ รวมทั้งการตรวจสอบจากฐานข้อมูลที่ไม่ update นั้น มีผลอย่างไรต่อรายงานที่ท่านได้รับเพื่อการตัดสินใจ มีผลอย่างไรต่อความเสี่ยงทางด้านกลยุทธ์ ทางด้านการดำเนินงาน ทางด้านการรายงานประเภทต่าง ๆ รวมทั้งรายงานทางการเงิน และความเสี่ยงทางด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ต่าง ๆ

เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก หากท่านจะนึกถึงเหตุการณ์ของกรณี บริษัท Emron และผลกระทบต่อ บริษัทที่ปรึกษาและบริษัทผู้สอบบัญชียักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งตอนนี้กลายเป็นอดีตเพื่อการศึกษาเท่านั้น นอกจากนี้ ปัญหาในปัจจุบันที่เกิดจากการบริหารการจัดการของสถาบันการเงิน และบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริการจำนวนมากก็จะเกิดจากสารสนเทศที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการ Rating ฐานะของบริษัทที่ไม่เป็นความจริง พิสูจน์ได้จากบริษัท Rating ระดับ AAA+ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการ Rating จากข้อมูลในอดีต แต่เมื่อมีปัญหาความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ระดับ Rating ก็เปลี่ยนแปลงไปเป็น BBB- หรือเลวร้ายไปกว่านั้น…

ผมสรุปส่งท้ายในวันนี้เพียงเพื่อตอกย้ำความสำคัญของ Information ซึ่งเป็น Intangible ส่วนใหญ่ของบริษัท ที่คณะกรรมการและผู้บริหาร รวมทั้งผู้ตรวจสอบยังให้ความสนใจในระดับที่แตกต่างกันมาก และเป็นที่น่าห่วงใยยิ่ง อาจพิสูจน์ได้ในเรื่องนี้ก็คือ หากมีการหยิบยกเรื่อง IT เรื่อง ITG เรื่อง IT Security และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยจะสนใจมากนัก หรือก็มอบหมายให้คนอื่นไปดำเนินการและไม่ได้ติดตามเท่าที่ควร กรณี ธนาคารโซซิเยเต้ เยนเนอรัล ธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของฝรั่งเศษ ที่เสียหายจากการทุจริตประมาณ 340,000 ล้านบาท จากการกระทำของคนที่รู้ IT เพียงคนเดียวก็คงพอเข้าใจได้ถึงความสำคัญของข้อมูลและสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายในและการตรวจสอบทางด้าน IT และ Non – IT นะครับ

ครั้งต่อไป ผมคงจะมีโอกาสแยกเรื่องการตรวจสอบที่เกี่ยวกับ IT Audit และ Non – IT Audit หลังจากที่ได้เกริ่นนำ และให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อข้อมูลและสารสนเทศที่ได้จากการรายงานในรูปแบบต่าง ๆ และการทำความเข้าใจในธุรกิจที่ตนบริหารและต้องการตรวจสอบ

ท่านคิดว่า IT Governance และกระบวนการควบคุมตามหลักการของ COBIT นั้น มีความสัมพันธ์กับกรอบการบริหารความเสี่ยงตามแนวทางของ COSO-ERM ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม? ครับ ผมขออนุญาตเป็นการส่วนตัวที่จะกล่าวว่า ทั้ง 2 เรื่อง มีส่วนสัมพันธ์กันโดยตรง 100% ครับ

แล้วถ้าความเข้าใจดังกล่าวข้างต้นแตกต่างกัน จะมีผลอย่างไรต่อกระบวนการบริหารความเสี่ยง ตามหลักการของ COSO-ERM ละครับ


ก้าวสู่…การกำกับดูแลกิจการที่ดีขององค์กร (Approach to Corporate Governance)

มีนาคม 31, 2009

จากที่เราได้คุยกันในครั้งก่อน เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2552 ได้พูดถึงบทคัดย่อ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546

วันนี้เราจะได้คุยกันต่อ เพื่อสร้างความเข้าใจโดยใช้รูปภาพเป็นสื่อ และแทรกด้วยคำอธิบายบางส่วน เท่าที่พิจารณาว่าเหมาะสม ดังนี้นะครับ…

สภาพแวดล้อมของการกำกับดูแลกิจการที่ดี กับ GRC บางมุมมอง

สภาพแวดล้อมของการกำกับดูแลกิจการที่ดี กับ GRC บางมุมมอง

การกำกับดูแลกิจการที่ดีขององค์กร มีบทบาทในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางด้านการให้บริการ สร้างความไว้วางใจในด้านความโปร่งใสและการปฏิบัติที่เป็นธรรม

ความเข้าใจของคำว่า การกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) มีความเข้าใจที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก ในบรรดาผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานบางส่วน การสร้างความเชื่อมั่นในการนำองค์กร ไปสู่เป้าหมายที่กำหนดได้อย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือร่วมใจกันสร้างและจัดให้มีวิธีการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อสร้างโอกาส ศักยภาพ โดยความร่วมมือ ร่วมใจของบุคลากรทุกระดับ

การกำกับดูแลกิจการที่ดี เป็นการบริหารจัดการโดยกำหนดบทบาทและวิธีปฏิบัติงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการบริหาร การให้บริการและเพิ่มมูลค่าในทุกระดับขององค์กร ตามหลักการสากลของการกำกับดูแลกิจการที่ดีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ และสอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกา พ.ศ.2546 ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีในมิติต่าง ๆ ซึ่งจะประกอบด้วย:-

1. Responsibility
มีความเข้าใจและมีขีดความสามารถในการประพฤติปฏิบัติได้ตามหน้าที่ และความรับผิดชอบให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด

2. Accountability
แสดงความรับผิดและรับชอบต่อผลการปฏิบัติหน้าที่ถึงแม้จะไม่ได้ปฏิบัติงานนั้นด้วยตนเอง

3. Equitable Treatment
ปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม

4. Transparency
แสดงความโปร่งใสในการดำเนินงาน สามารถอธิบายและตรวจสอบได้

5. Creation of Long Term Value
แสดงกลยุทธ์และขีดความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกิจการในระยะยาว

6. Promotion of Best Practices
ส่งเสริมการปฏิบัติอันเป็นเลิศ และการมีจรรยาบรรณที่ดีในการประกอบธุรกิจ

7. Social and Environmental Awareness
มีความสำนึกที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม

ความตื่นตัวของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ได้เกิดมากขึ้นหลังจากที่ประเทศไทยได้ประสบวิกฤติการณ์เศรษฐกิจที่ผ่านมา ในปี 2539 – 2540 และกำลังเกิดวิกฤติการณ์ใหม่ ซึ่งมีระดับความเสียหายไปทั่วโลกในปัจจุบัน ผมเชื่อว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการขาดการบริหารจัดการที่ดีทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการละเลยไม่ปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง การไม่สร้างมาตรฐานให้ทัดเทียมเพื่อการแข่งขันกับคนอื่น โดยเฉพาะในเวทีของโลก จึงต้องมีการปรับปรุงการบริหารจัดการ ทั้งในภาครัฐและเอกชน พัฒนารูปแบบการดำเนินงานเพื่อสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ สามารถยกระดับมาตรฐานให้เป็นสากล เป็นที่ยอมรับ เป็นที่น่าเชื่อถือและน่าไว้วางใจต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะธุรกิจต่าง ๆ และหน่วยงานของรัฐ ต้องติดต่อและมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้น ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

ประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ซึ่งเป็นประเทศต้นแบบประเทศหนึ่งในการสร้างมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดี การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน และการตรวจสอบภายในตามฐานความเสี่ยง ในเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย รวมทั้งเรื่อง IT Governance และอื่น ๆ นั้น กับเป็นประเทศที่สร้างปัญหาทั้งเศรษฐกิจและการเงินที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงินทั่วโลกในปัจจุบัน ก็เกิดจากการละเว้นไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ประเทศของตนเป็นผู้นำในการสร้างกติกาต่าง ๆ ให้ประเทศทั่วโลกต้องปฏิบัติ

นี่คือจุดอ่อนที่สำคัญของการควบคุมภายใน ที่เกิดจาก People – Process – Technology ผสมผสานกับสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและความหย่อนยานทางจริยธรรม ซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นกับจิตสำนึกของบุคลากรที่ยากมากที่จะติดตามและตรวจสอบให้รู้ถึงรากเง้าของปัญหาที่ก่อตัวขึ้น และกว่าจะรู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมีความเสียหายอย่างอเนกอนันต์ ก็สายเกินกว่าที่จะแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น

ผลกระทบของความเสียหายจึงเกิดขึ้นในลักษณะลูกโซ่ ซึ่งเรียกว่าเป็น “Systematic Risk” ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง สรุปได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตและปัจจุบัน เกิดจากการขาดดุลยภาพของกระบวนการจัดการที่ดี ที่ไม่เป็นไปตามหลักบรรษัทภิบาล หรือ CG ที่เป็นรูปธรรม

การขาดดุลยภาพก็หมายถึง การขาดความยั่งยืนในการเจริญเติบโต ซึ่งเป็นหลักการข้อหนึ่งของ CG นอกเหนือจากหลักการอื่น ๆ ที่จะกล่าวต่อไป

การสร้างค่านิยมร่วมของประเทศและองค์กร

การสร้างค่านิยมร่วมของประเทศและองค์กร

ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐของไทยจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดีและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการนำการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาใช้ จึงได้มีการประยุกต์หลักการสากลทั้ง 7 ประการข้างต้นให้มีความเป็นรูปธรรมและเหมาะสมกับประเทศไทยมากขึ้น โดยรัฐบาลได้ออกมาเป็น พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2546 โดยสาระสำคัญประกอบด้วย

1. การเกิดประโยชน์สุขของประชาชน
2. การเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
3. มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ
4. ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น
5. มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์
6. ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวก แลได้รับการตอบสนองความต้องการ
7. มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการสม่ำเสมอ

สาระสำคัญของพระราชกฤษฎีกาฯ ข้างต้นทำให้ทางหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ให้ความสำคัญในเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดีกันมากขึ้น องค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นหน่วยงานหนึ่งที่เล็งเห็นประโยชน์และความสำคัญดังกล่าว โดยได้มีการนำเอาพระราชกฤษฎีกาฯ นั้นมาใช้ในการกำหนดออกมาเป็นกรอบของ กพร. ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นมิติต่าง ๆ 4 ด้าน

มิติทั้ง 4 ด้าน ตามกรอบของ กพร. ประกอบด้วย
มิติที่ 1 ประสิทธิผลตามพันธกิจ
1. การประเมินผลตามแผนยุทธศาสตร์ของหน่วยราชการ
2. ผลสำเร็จในการพัฒนาการปฏิบัติราชการ

มิติที่ 2 ประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ
1. คุณภาพการให้บริการ
2. การให้บริการผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์
3. การสำรวจและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และจัดให้มีคณะที่ปรึกษาภาคประชาชน

มิติที่ 3 คุณภาพการให้บริการ
1. การลดค่าใช้จ่าย
2. การลดระยะเวลาการให้บริการ
3. การนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้กับงานบางส่วน
4. การวัดต้นทุนต่อหน่วย
5. การบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประสิทธิภาพ

มิติที่ 4 การพัฒนาองค์กร
1. การลดอัตรากำลังหรือการจัดสรรอัตรากำลังให้ทำงานคุ้มค่า
2. การมอบอำนาจการตัดสินใจ การอนุมัติ อนุญาตไปยังระดับปฏิบัติการ
3. การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดระดับบุคคลให้สอดคล้องกับระดับองค์กร
4. การพัฒนาระบบการควบคุมภายใน
5. นวัตกรรม

จากหลักสากลของการกำกับดูแลที่ดีแปลงมาสู่พระราชกฤษฎีกาฯ และองค์กรต่าง ๆ ได้นำมาประยุกต์ปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม เพื่อให้สามารถวางเป็นกรอบการดำเนินงานในการกำกับดูแลองค์กรที่ดีขององค์กร เป็นหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่กำหนดขึ้น เพื่อให้คณะผู้บริหารและพนักงานขององค์กรทุกคน ใช้เป็นแนวทางในการกำกับดูแลการบริหารงานและปฏิบัติงานให้มีคุณภาพ มีความโปร่งใส และมีประสิทธิภาพในภาระหน้าที่ความรับผิดชอบในการบริหารงานทุกขั้นตอน โดยการกำหนดรูปแบบและอำนาจหน้าที่ ตลอดจนแนวปฏิบัติที่ดีของคณะกรรมการฝ่ายบริหารและพนักงาน เพื่อให้เกิดกระบวนการกำกับดูแล มีการตรวจสอบและพัฒนาการ และระบบการควบคุมภายในที่ดีเป็นมาตรฐาน โดยมีการบริหารและจัดการกับขนาดของความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ที่มีโอกาสที่จะสร้างความเสียหายให้กับองค์กร ทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมีประสิทธิผล และเหมาะสมเป็นที่ยอมรับของทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง


ก้าวสู่…การกำกับดูแลกิจการที่ดีขององค์กร (Approach to Corporate Governance)

มีนาคม 31, 2009

จากที่เราได้คุยกันในครั้งก่อน เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2552 ได้พูดถึงบทคัดย่อ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546

วันนี้เราจะได้คุยกันต่อ เพื่อสร้างความเข้าใจโดยใช้รูปภาพเป็นสื่อ และแทรกด้วยคำอธิบายบางส่วน เท่าที่พิจารณาว่าเหมาะสม ดังนี้นะครับ…

สภาพแวดล้อมของการกำกับดูแลกิจการที่ดี กับ GRC บางมุมมอง

สภาพแวดล้อมของการกำกับดูแลกิจการที่ดี กับ GRC บางมุมมอง

การกำกับดูแลกิจการที่ดีขององค์กร มีบทบาทในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางด้านการให้บริการ สร้างความไว้วางใจในด้านความโปร่งใสและการปฏิบัติที่เป็นธรรม

ความเข้าใจของคำว่า การกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) มีความเข้าใจที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก ในบรรดาผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานบางส่วน การสร้างความเชื่อมั่นในการนำองค์กร ไปสู่เป้าหมายที่กำหนดได้อย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือร่วมใจกันสร้างและจัดให้มีวิธีการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อสร้างโอกาส ศักยภาพ โดยความร่วมมือ ร่วมใจของบุคลากรทุกระดับ

การกำกับดูแลกิจการที่ดี เป็นการบริหารจัดการโดยกำหนดบทบาทและวิธีปฏิบัติงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการบริหาร การให้บริการและเพิ่มมูลค่าในทุกระดับขององค์กร ตามหลักการสากลของการกำกับดูแลกิจการที่ดีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ และสอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกา พ.ศ.2546 ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีในมิติต่าง ๆ ซึ่งจะประกอบด้วย:-

1. Responsibility
มีความเข้าใจและมีขีดความสามารถในการประพฤติปฏิบัติได้ตามหน้าที่ และความรับผิดชอบให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด

2. Accountability
แสดงความรับผิดและรับชอบต่อผลการปฏิบัติหน้าที่ถึงแม้จะไม่ได้ปฏิบัติงานนั้นด้วยตนเอง

3. Equitable Treatment
ปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม

4. Transparency
แสดงความโปร่งใสในการดำเนินงาน สามารถอธิบายและตรวจสอบได้

5. Creation of Long Term Value
แสดงกลยุทธ์และขีดความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกิจการในระยะยาว

6. Promotion of Best Practices
ส่งเสริมการปฏิบัติอันเป็นเลิศ และการมีจรรยาบรรณที่ดีในการประกอบธุรกิจ

7. Social and Environmental Awareness
มีความสำนึกที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม

ความตื่นตัวของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ได้เกิดมากขึ้นหลังจากที่ประเทศไทยได้ประสบวิกฤติการณ์เศรษฐกิจที่ผ่านมา ในปี 2539 – 2540 และกำลังเกิดวิกฤติการณ์ใหม่ ซึ่งมีระดับความเสียหายไปทั่วโลกในปัจจุบัน ผมเชื่อว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการขาดการบริหารจัดการที่ดีทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการละเลยไม่ปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง การไม่สร้างมาตรฐานให้ทัดเทียมเพื่อการแข่งขันกับคนอื่น โดยเฉพาะในเวทีของโลก จึงต้องมีการปรับปรุงการบริหารจัดการ ทั้งในภาครัฐและเอกชน พัฒนารูปแบบการดำเนินงานเพื่อสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ สามารถยกระดับมาตรฐานให้เป็นสากล เป็นที่ยอมรับ เป็นที่น่าเชื่อถือและน่าไว้วางใจต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะธุรกิจต่าง ๆ และหน่วยงานของรัฐ ต้องติดต่อและมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้น ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

ประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ซึ่งเป็นประเทศต้นแบบประเทศหนึ่งในการสร้างมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดี การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน และการตรวจสอบภายในตามฐานความเสี่ยง ในเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย รวมทั้งเรื่อง IT Governance และอื่น ๆ นั้น กับเป็นประเทศที่สร้างปัญหาทั้งเศรษฐกิจและการเงินที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงินทั่วโลกในปัจจุบัน ก็เกิดจากการละเว้นไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ประเทศของตนเป็นผู้นำในการสร้างกติกาต่าง ๆ ให้ประเทศทั่วโลกต้องปฏิบัติ

นี่คือจุดอ่อนที่สำคัญของการควบคุมภายใน ที่เกิดจาก People – Process – Technology ผสมผสานกับสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและความหย่อนยานทางจริยธรรม ซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นกับจิตสำนึกของบุคลากรที่ยากมากที่จะติดตามและตรวจสอบให้รู้ถึงรากเง้าของปัญหาที่ก่อตัวขึ้น และกว่าจะรู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมีความเสียหายอย่างอเนกอนันต์ ก็สายเกินกว่าที่จะแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น

ผลกระทบของความเสียหายจึงเกิดขึ้นในลักษณะลูกโซ่ ซึ่งเรียกว่าเป็น “Systematic Risk” ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง สรุปได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตและปัจจุบัน เกิดจากการขาดดุลยภาพของกระบวนการจัดการที่ดี ที่ไม่เป็นไปตามหลักบรรษัทภิบาล หรือ CG ที่เป็นรูปธรรม

การขาดดุลยภาพก็หมายถึง การขาดความยั่งยืนในการเจริญเติบโต ซึ่งเป็นหลักการข้อหนึ่งของ CG นอกเหนือจากหลักการอื่น ๆ ที่จะกล่าวต่อไป

การสร้างค่านิยมร่วมของประเทศและองค์กร

การสร้างค่านิยมร่วมของประเทศและองค์กร

ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐของไทยจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดีและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการนำการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาใช้ จึงได้มีการประยุกต์หลักการสากลทั้ง 7 ประการข้างต้นให้มีความเป็นรูปธรรมและเหมาะสมกับประเทศไทยมากขึ้น โดยรัฐบาลได้ออกมาเป็น พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2546 โดยสาระสำคัญประกอบด้วย

1. การเกิดประโยชน์สุขของประชาชน
2. การเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
3. มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ
4. ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น
5. มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์
6. ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวก แลได้รับการตอบสนองความต้องการ
7. มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการสม่ำเสมอ

สาระสำคัญของพระราชกฤษฎีกาฯ ข้างต้นทำให้ทางหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ให้ความสำคัญในเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดีกันมากขึ้น องค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นหน่วยงานหนึ่งที่เล็งเห็นประโยชน์และความสำคัญดังกล่าว โดยได้มีการนำเอาพระราชกฤษฎีกาฯ นั้นมาใช้ในการกำหนดออกมาเป็นกรอบของ กพร. ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นมิติต่าง ๆ 4 ด้าน

มิติทั้ง 4 ด้าน ตามกรอบของ กพร. ประกอบด้วย
มิติที่ 1 ประสิทธิผลตามพันธกิจ
1. การประเมินผลตามแผนยุทธศาสตร์ของหน่วยราชการ
2. ผลสำเร็จในการพัฒนาการปฏิบัติราชการ

มิติที่ 2 ประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ
1. คุณภาพการให้บริการ
2. การให้บริการผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์
3. การสำรวจและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และจัดให้มีคณะที่ปรึกษาภาคประชาชน

มิติที่ 3 คุณภาพการให้บริการ
1. การลดค่าใช้จ่าย
2. การลดระยะเวลาการให้บริการ
3. การนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้กับงานบางส่วน
4. การวัดต้นทุนต่อหน่วย
5. การบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประสิทธิภาพ

มิติที่ 4 การพัฒนาองค์กร
1. การลดอัตรากำลังหรือการจัดสรรอัตรากำลังให้ทำงานคุ้มค่า
2. การมอบอำนาจการตัดสินใจ การอนุมัติ อนุญาตไปยังระดับปฏิบัติการ
3. การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดระดับบุคคลให้สอดคล้องกับระดับองค์กร
4. การพัฒนาระบบการควบคุมภายใน
5. นวัตกรรม

จากหลักสากลของการกำกับดูแลที่ดีแปลงมาสู่พระราชกฤษฎีกาฯ และองค์กรต่าง ๆ ได้นำมาประยุกต์ปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม เพื่อให้สามารถวางเป็นกรอบการดำเนินงานในการกำกับดูแลองค์กรที่ดีขององค์กร เป็นหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่กำหนดขึ้น เพื่อให้คณะผู้บริหารและพนักงานขององค์กรทุกคน ใช้เป็นแนวทางในการกำกับดูแลการบริหารงานและปฏิบัติงานให้มีคุณภาพ มีความโปร่งใส และมีประสิทธิภาพในภาระหน้าที่ความรับผิดชอบในการบริหารงานทุกขั้นตอน โดยการกำหนดรูปแบบและอำนาจหน้าที่ ตลอดจนแนวปฏิบัติที่ดีของคณะกรรมการฝ่ายบริหารและพนักงาน เพื่อให้เกิดกระบวนการกำกับดูแล มีการตรวจสอบและพัฒนาการ และระบบการควบคุมภายในที่ดีเป็นมาตรฐาน โดยมีการบริหารและจัดการกับขนาดของความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ที่มีโอกาสที่จะสร้างความเสียหายให้กับองค์กร ทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมีประสิทธิผล และเหมาะสมเป็นที่ยอมรับของทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง