ผมไม่ได้เขียนในคอลัมน์นี้มานานทีเดียว บังเอิญผมได้อ่านเรื่องที่น่าสนใจนี้มาก็นาน ประทับใจกับการต่อสู้ การดิ้นรนของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นที่เคยเป็นผู้นำของโลกในด้านอิเล็กทรอนิสก์ที่สำคัญ ๆ
แต่ในระยะหลัง ๆ อุตสาหกรรมที่ผ่านมานี้ของญี่ปุ่นต้องดิ้นรนต่อสู้กับความอยู่รอดจากการแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ เช่น เกาหลี และจีน จึงขอถ่ายทอดเรื่องราวที่น่าสนใจจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2557 มาเผยแพร่ต่อดังนี้
นายฮารุยาสิ มิยาเบะ เคยควบคุมสายการผลิตชิปคอมพิวเตอร์ที่โรงงานของบริษัทฟูจิตสึในเมืองไอชุวากามัสติของญี่ปุ่น แต่อยู่มาวันหนึ่งเมื่อปีก่อน ผู้จัดการโรงงานได้บอกให้เขาเตรียมตัวรับความเปลี่ยนแปลงในอาชีพการทำงาน “คุณจะต้องเปลี่ยนไปทำผักกาดหอม เริ่มจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป” มายมิยาเบะเล่าย้อนความหลัง
ท่ามกลางช่วงเวลาที่ยากลำบากในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่น บริษัทฟูจิตสึจำต้องยุบสายการผลิตชิปหนึ่งในสามของโรงงานแห่งนี้เมื่อปี 2552 แต่ปัจจุบันนายมิยาเบะและเจ้าหน้าที่อายุประมาณ 30 ปี อีกคนหนึ่งได้หันมาดูแลผักกาดหอมในห้องสะอาดที่ปลอดเชื้อโรคและฝุ่นละออง ซึ่งเคยใช้เป็นห้องผลิตชิปของโรงงาน
“ตอนแรกเราคิดจะทำศูนย์ข้อมูลหรือคอลเซ็นเตอร์” แต่เป็นเรื่องยากที่จะได้รับใบอนุญาต” นายมิยาเบะซึ่งได้รับสิทธิ์ดูแลผลิตภัณฑ์ใหม่กล่าว “ผมชอบดูผักกาดหอมโตขึ้นเรื่อย ๆ มันน่ารักดี”
ไม่ใช่เพียงนายมิยาเบะและบริษัทฟูจิตสึเท่านั้นที่เปลี่ยนผ่านจากธุรกิจเกี่ยวกับแผงวงจรมาปลูกผัก การดิ้นรนเพื่อแข่งขันกับบรรดาคู่แข่งในเกาหลีใต้หรือจีนในธุรกิจอย่างโทรทัศน์และสมาร์ทโฟน เหล่าลักษ์ใหญ่อิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นต่างแปลงโฉมโรงงานที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาทำการเกษตรแทน
เมื่อเดือนก่อน หลังจากที่บริษัทฟูจิสึเริ่มขายผักกาดหอมจาดโรงงานเมื่อไอชุวากามัตสึ บริษัทโตชิบา คอร์ป ก็เปิดเผยว่าเตรียมจะเริ่มปลูกผักในโรงงานฟลอปปี้ดิสก์ ใกล้กับกรุงโตเกียวที่ไม่ได้ใช้งานมา 20 ปีแล้ว และในปลายปีนี้ บริษัทพานาโซนิค คอร์ป ก็จะเริ่มขายเรือนกระจกที่ควบคุมด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับใช้ปลูกผักขมและผักชนิดอื่น ๆ นอกจากนั้น ชาร์ป คอร์ป ได้เริ่มทดลองปลูกสตรอว์เบอรี่ในห้องปฏิบัติการของโรงงานที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ โดยใช้เทคโนโลยีส่องสว่างและฟอกอากาศของตนตั้งแต่ปีที่แล้ว
ขณะเดียวกันรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีชินโช อาเบะ ก็สนับสนุนการพัฒนาในด้านนี้ หลังจากที่รัฐบาลชุดก่อนเพียงสนับสนุนธุรกิจที่ไม่สามารถทำกำไรได้เท่านั้น แต่นายอาเบะต้องการธุรกิจเหล่านี้แตกดอกออกผล และต้องการให้มีการปรับโครงสร้างภาคการเกษตรของประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ชาวนาสูงอายุที่ทำเกษตรในพื้นที่แปลงเล็ก ๆ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนอาหรสูง ด้วยเหตุนี้ นายอาเบะจึงคาดว่าหากบรรดาบริษัทรายใหญ่หันมาทำการเกษตร ราคาอาหารก็จะลดลงตามไปด้วย
เริ่มแรก ฟุจิตสึได้รับเงินช่วยเหลือสำหรับโครงการที่โรงงานไอชุวากามัตสึ จังหวัดฟูกูชิมา จากโครงการช่วยฟื้นฟูภูมิภาคฟูกูชิมาหลังเกิดแผ่นดินไหวและภัยสึนามิ เมื่อปี 2544 ทั้งนี้ จังหวัดฟูกูชิมาเป็นหนึ่งในภูมิภาคเกษตรกรรมที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยโครงการดังกล่าวอยู่ห่างจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เสียหายจากภัยพิบัติครั้งนั้นราว 96.5 กม.
เมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้เพิ่มเงินสนับสนุนทั่วประเทศสำหรับการเกษตรแบบก้าวหน้า และจำนวนโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่างฟูจิตสึก็เพิ่มขึ้น 4 เท่าในช่วง 3 ปี หลังสุดเป็นกว่า 380 แห่ง ที่โรงงานฟูจิตสึุ บรรดาคนงานจะต้องใส่ชุดสำหรับห้องปฏิบัติการและหน้ากากเพื่อให้สิ่งแวดล้อมปลอดเชื้อโรคเหมาะกับการปลูกผักกาดหอม ซึ่งใช้วิธีปลูกในน้ำที่มีการหยดปุ๋ยและสารอาหาร
บริษัทฟูจิตสึระบุว่า การปลูกผักกาดหอมด้วยวิธีการนี้ช่วยให้ฟูจิตสึสามารถลดระดับโปแตสเซียม ซึ่งทำให้ผักกาดหอมอร่อยถูกปากกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นโรคไต ซึ่งเพิ่มมากขึ้นในญี่ปุ่น ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถดูดซับแร่ธุาตโปแตสเซียมได้ และเนื่องจากผักกาดหอมถูกปลูกในห้องปลอดแบคทีเรีย จึงทำให้อยู่ได้นานกว่าการปลูกแบบปกติถึง 2 เดือน หากนำไปแช่เย็น “เพราะว่าผักเหล่านี้อยู่ได้เป็นเวลานาน จึงทำให้เรามีข้อได้เปรียบในการแข่งขันเวลาส่งออกสินค้า” นายอากิฮิโกะ ซาโตะ ผู้จัดการโรงงานฟูจิตสึกล่าว
อย่างไรก็ตาม ผักกาดไฮเทคเหล่านี้ย่อมมาพร้อมราคาที่สูงขึ้น ในซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้กับกรุงโตเกียว ผักกาดหอมถุงเล็ก ๆ ของฟูจิตสึวางขายในราคา 3 ดอลลาร์ (96 บาท) มากกว่าผักกาดทั่วไปอยู่ประมาณ 1 ดอลลาร์ (32 บาท) ขณะที่โตชิบาระบุว่า บริษัทต้องการขยายการผลิตเพื่อสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจ โดยตั้งเป้าว่าจะปลูกผักกาดหอม 3 ล้านหัวต่อปี และทำยอดขายให้ได้ปีละประมาณ 2.9 ล้านดอลลาร์ (92.8 ล้านบาท) ภายในปีงบการเงิน 2558 นอกจากนี้ ยังมแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่น ๆ ในเอเชียและตะวันออกกลางที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยและคุณภาพน้ำย่ำแย่ ทำให้ยากต่อการปลูกผัก
บริษัทฟูจิตสึ เริ่มต้นอย่างพอประมาณด้วยการปลูกผักกาดหอม 3,500 หัวต่อวัน แต่บอกว่าหากทุกอย่างไปได้สวย บริษัทก็ตั้งใจจะผลิตผักกาดหอมให้ได้มูลค่าราว 4 ล้านดอลลาร์ (128 ล้านบาท) ภายในปีงบการเงิน 2559 เพิ่มขึ้นจากเป้าในปีนี้ 1.5 ล้านดอลลาร์ (48 ล้านบาท)
ไม่ใช่ทุกคนที่ถูกโน้มน้าวว่าการเกษตรไฮเทคเป็นเส้นทางสู่ความก้าวหน้า โดยนายยูกิฮิโร คาโตะ ชาวไรในเมืองโยโกฮามา ซึ่งขายของในตลาดท้องถิ่นบอกว่า ความต้องการซื้อผักของเขาซึ่งมีบางชนิดปลูกแบบออแกนิคนั้นกำลังเพิ่มขึ้น “หากคุณพูดถึงเรื่องการควบคุมคุณภาพ โรงงานอาจมีข้อได้เปรียบอยู่บ้าง แต่หากพูดถึงเรื่องโภชนาการเราก็อาจมีข้อได้เปรียบเหมือนกัน” นายคาโตะกล่าว
บริษัท พานาโซนิคพยายามหาสูตรที่ลงตัวระหว่างความรู้ในการทำเกษตรแบบไฮเทคกับแบบดั้งเดิม ในเรือนกระจก อัจฉริยะของพานาโซนิค ชาวไร่จะเตรียมดินและเมล็ดพันธุ์ไว้ตามปกติ และหลังจากพืชเริ่มโต เซ็นเซอร์ก็จะวัดอุณหภูมิและระดับความชื้น หากพบว่าร้อนเกินไป ระบบของพานาโซนิคก็จะปิดม่านอัตโนมัติเพื่อกันแสงแดดและเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเทและยังมีวิธีการอื่น ๆ ในกรณีที่อุณหภูมิเย็นเกินไปด้วย
สำหรับนายทาคาโยชิ ทานิซาวา พนักงานของพานาโซนิค วัย 40 ปี จุดผกผันในชีวิตการทำงานของเขาเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน หลังจากที่เขาเปลี่ยนจากอาชีพผลิตเก้าอี้นวดมาปลูกผักขมแทน นายทานิซาวาบอกว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ไม่ได้ถึงขนาดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ แม้ว่าการเก้าอี้นวดจะใช้มอเตอร์ในการขยับก้อนนวดไปมาและปั๊มอากาศเข้าไปในถุงเพื่อนวดขา แต่เรือนกระจกก็ใช้มอเตอร์ในการเปิด-ปิดเพดานเพื่อป้องกันแสงแดด และใช้ปั๊มเพื่อรดน้ำให้ผักขม นอกจากนี้ เขายังพบว่า การปลูกผักไม่จำเป็นต้องระมัดระวังมากเท่ากับตอนที่ให้คนมาลองเก้าอี้นวดด้วยซ้ำ
(เครดิต : นสพ. กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 11 กรกฎาคม 2557)
ผมขอฝากทิ้งท้ายไว้สำหรับท่านผู้อ่าน หากได้อ่านแล้ว คิดว่าสภาพแวดล้อมยุคใหม่กับการแข่งขันนั้น ท่านได้ข้อคิดจากบทความนี้เพียงใด ผมจะขอแชร์ความเห็นของผมในครั้งต่อไปนะครับ