IT Governance & Control Objective to Environmental Control

เมษายน 4, 2009

เพื่อให้ท่านผู้อ่านทราบถึงแนวคิดและหลักการ IT Governance ตามหลักการของ COBIT ที่คัดย่อมาจาก IT Governance Institute ที่ใช้กันทั่วไปและเป็นสากลในบางมุมมองที่เกี่ยวข้องกับ Control OBjective for Information and Technology ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารและการจัดการสารสนเทศที่ดีทางด้านการบริหารสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะที่ดี คือ ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ การรักษาความลับ ความครบถ้วนถูกต้อง สภาพพร้อมใช้งาน การปฏิบัติตามกฎ ความเชื่อถือได้ ซึ่งมี 34 Process และหนึ่งในนั้นก็คือ การดำเนินธุรกิจที่ต่อเนื่องและการบริหารความเสี่ยง เพื่อสนับสนุนแนวทางของคณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยงในการใช้ปัจจัยในการประเมินที่เกี่ยวข้องกับ BCM และ Environmental Control ที่เกี่ยวกับมาตรฐาน EN 1047-2 บางมุมมอง วันนี้ผมจึงขอนำเสนอแนวคิด หลักการ และความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับ IT Governance & Control Objective to Environmental Control ตามหัวเรื่องที่ได้กล่าวไว้ครับ

แนวคิดหลักของ IT Governance คือ รูปแบบโครงสร้างของความสัมพันธ์ กระบวนการการจัดการและการปฏิบัติในองค์กรที่ผู้บริหารใช้กำกับ และควบคุมองค์กรให้บรรลุถึงเป้าประสงค์ โดยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างความสมดุลในการจัดการกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้รับจาก เทคโนโลยีสารสนเทศ และจากกระบวนการที่เกี่ยวข้อง

สารสนเทศขององค์กรต้องสามารถตอบสนองความต้องการด้านคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และการรักษาความปลอดภัย เช่นเดียวกับสินทรัพย์อื่น ๆ หรือยิ่งกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ เพราะหลายกรณี การดำเนินธุรกิจที่ต่อเนื่องเป็นความสำคัญยิ่งยวดที่มิอาจจะผลักภาระไปยังบุคคลอื่นหรือทำการประกันภัยใด ๆ เพื่อให้ความมั่นใจอย่างสมเหตุสมผลว่า ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องตามหลักการ Business Continuity Management

ผู้บริหารควรเข้าใจถึงสถานภาพของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กร และตัดสินใจว่าควรมีการดำเนินการควบคุม และสร้างศักยภาพอย่างไร จึงจะเหมาะสมอย่างผสมผสานกับธุรกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดขององค์กร ทั้งนี้โดยคำนึงถึงคุณลักษณะสารสนเทศที่ดีและความสามารถในการบริหารทรัพยากรเทคโนโลยีสารสนเทศจาก 34 กระบวนการที่กำหนดไว้ภายใต้ 4 โดเมน / กรอบหลักของการบริหาร IT Governance

หลักการและความเป็นจริงในการกำหนดกรอบ IT Governance
ความจำเป็นที่ต้องมีการควบคุมการจัดการและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
1. การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) มีความก้าวหน้าขึ้นเป็นอันมาก ทำให้สารสนเทศสามารถส่งผ่านถึงผู้รับได้อย่างรวดเร็วโดยปราศจากข้อจำกัดด้านเวลา ระยะทาง และสถานที่ซึ่งมีผลถึงศักยภาพการแข่งขันอย่างสำคัญ
1.1. การพึ่งพาการใช้งานจากสารสนเทศ (Information) และระบบต่าง ๆ (Systems) ที่เพิ่มมากขึ้น
1.2. การเพิ่มขึ้นของการใช้สารสนเทศที่ใช้ในการพัฒนา Business Process และการให้บริการลูกค้า
1.3. การเปลี่ยนแปลงของต้นทุน และขนาดของการลงทุนของข้อมูล และ Information Systems ในปัจจุบัน และในอนาคต
1.4. ศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในองค์กร รวมทั้งปรับเปลี่ยนหลักการการจัดการ และการปฏิบัติงาน (Business Practices) ซึ่งก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และช่วยให้ต้นทุนลดลงด้วย

2. การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขององค์กรในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนระบบ และกระบวนการทำงานให้กระชับขึ้น โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการปรับปรุงเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น มีการปรับขนาดขององค์กรให้กระชับและมีความเหมาะสม มีการใช้บริการจากภายนอกมากขึ้น มีการกระจายอำนาจและปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็นแนวราบมากขึ้น สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานทั้งขององค์กรเอกชนและองค์กรของรัฐบาล โดยเฉพาะการเน้นไปที่การได้เปรียบในด้านการแข่งขัน (Competitive Advantage) และการเกิดประสิทธิภาพด้านต้นทุน (Cost Efficiency) ซึ่งเป็นผลให้แต่ละองค์กรจำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้นและกลายเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญขององค์กร

การดำเนินธุรกิจที่ต่อเนื่องเป็นความสำคัญยิ่งยวดที่ทุกองค์กรจะต้องตระหนัก โดยจัดให้มีการบริหารความเสี่ยงในมุมมองต่าง ๆ ที่เหมาะสม ตั้งแต่ Logical Control และ Environmental Control เพราะความไม่แน่นอนในการพึ่งพา Offsite Backup มีความเสี่ยงสูงและเป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจยอมรับได้ในหลาย ๆ กรณี เมื่อมีการศึกษา Business Impact Analysis

3. องค์กรต่าง ๆ มองเห็นความสำคัญของสารสนเทศและเทคโนโลยีที่พัฒนา อันถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีค่ายิ่งโดยเฉพาะในโลกของการแข่งขันที่รุนแรง ผู้บริหารจะให้ความสำคัญ และความคาดหวังกับเทคโนโลยีสารสนเทศมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการตอบสนองที่รวดเร็ว มีคุณภาพ สามารถใช้งานได้หลากหลาย และสะดวกต่อการใช้งาน โดยใช้เวลาน้อยลง เพิ่มระดับการบริการให้ดียิ่งขึ้น โดยมีต้นทุนที่ต่ำลง

4. องค์กรที่มีการปฏิบัติงานในระบบอัตโนมัติจำเป็นต้องมีกลไกในการควบคุมที่ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการควบคุมทั้งระบบคอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่าย (Network) ทั้งในด้านของ Hardware และ Software ซึ่งระบบการควบคุมจำเป็นต้องพัฒนาไปพร้อมกับการพัฒนาของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นไปแบบก้าวกระโดด

5. หลายองค์กรได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากเทคโนโลยี สำหรับองค์กรที่ประสบความสำเร็จก็มีความเข้าใจ และสามารถบริหารความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้เกิดมากขึ้นเป็นลำดับ และรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องมีการจัดการความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงนี้ให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับข้อมูลที่เปิดเผย และข้อมูลที่เป็นความลับ รวมทั้งการนำข้อมูลไปใช้กระทำการที่ผิดกฎหมาย ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีสารสนเทศ จึงกลายมาเป็นส่วนสำคัญในการกำกับดูแลกิจการที่ดีขององค์กรขององค์กร (Corporate Governance)

6. ที่ผ่านมาความต้องการในการมีกรอบมาตรฐาน (Framework) สำหรับการจัดการเรื่องความปลอดภัย และการควบคุมทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมีค่อนข้างมาก โดยเฉพาะองค์กรที่ประสบความสำเร็จต่าง ๆ ได้มีความเข้าใจ และประเมินค่าของความเสี่ยงเทียบกับข้อจำกัดในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในทุกระดับขององค์กร เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรจะสามารถมีการกำกับดูแลที่มีประสิทธิผล และมีการควบคุมที่เพียงพอ

7. ระดับบริหารจะต้องสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะลงทุน ณ ระดับใด ในเรื่องการรักษาความปลอดภัย และการควบคุม (Security and Control) และจะรักษาจุดสมดุลอย่างไร ระหว่างความเสี่ยงที่รับได้กับการลงทุนในด้านการควบคุม ถึงแม้การรักษาความปลอดภัย และการควบคุม (Security and Control) ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยในการบริหารความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงก็ยังคงมีอยู่ไม่ได้ถูกกำจัดออกไปทั้งหมด เพราะไม่มีผู้ใดสามารถกำหนดระดับความเสี่ยงได้ชัดเจนแน่นอน

ดังนั้น ผู้บริหารจึงต้องกำหนดระดับความเสี่ยงที่รับได้ โดยเปรียบเทียบกับต้นทุนที่ต้องลงทุน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างยาก จึงจำเป็นต้องมีกรอบมาตรฐาน (Framework) เพื่อให้ทราบถึงการกำหนดนโยบายการรักษาความปลอดภัย และการควบคุมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยคำนึงถึงสภาวะของเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน และที่จะเป็นในอนาคต

8. ระดับผู้ใช้ (Users) ก็ต้องมีความมั่นใจว่ามีการรักษาความปลอดภัย และการควบคุม (Security and Control) อย่างเพียงพอในการใช้งานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้บริการจากภายในองค์กร หรือจากผู้ให้บริการจากภายนอก (Third Party) ก็ตามซึ่งที่ผ่านมาการควบคุมทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจะค่อนข้างสับสนเนื่องจากมีมาตรฐานหลากหลายวิธีจากองค์กรต่าง ๆ

9. ระดับผู้ตรวจสอบ (Auditors) ก็จำเป็นจะต้องมีมาตรฐานสากลในการตรวจสอบ เนื่องจากจะต้องมีจุดยืนในการให้แนวคิด และเหตุผลเกี่ยวกับการตรวจสอบภายในกับระดับบริหาร ซึ่งถ้าปราศจากกรอบมาตรฐานแล้วจะหาจุดพิจารณาถึงระดับการรักษาความปลอดภัย และการควบคุม (Security and Control) ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมได้ค่อนข้างยาก

ความสัมพันธ์ของ IT Governance กับ Corporate Governance
ธรรมาภิบาลทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Governance) เป็นส่วนสำคัญที่รวมอยู่ในความสำเร็จของธรรมาภิบาลขององค์กร (Corporate Governance) โดยจะเป็นจุดวัดของการปรับปรุงในด้านประสิทธิผล และประสิทธิภาพของกระบวนการปฏิบัติงานขององค์กร ธรรมาภิบาลขององค์กรจะเป็นกรอบในการกำหนดแนวทางสำหรับธรรมาภิบาลทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Governance) ส่วนกิจกรรม / กระบวนการต่าง ๆ ขององค์กรจะต้องใช้ข้อมูลจาก กิจกรรม / กระบวนการของเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะธุรกิจหลัก ๆ ขององค์กร

Corporate Governance เป็นผู้ขับเคลื่อน และกำหนดรูปแบบของ IT Governance ขณะเดียวกันเทคโนโลยีสารสนเทศก็ได้สนับสนุนข้อมูลที่จำเป็นต่าง ๆ เพื่อใช้ในการวางแผนด้านกลยุทธ์ (Strategic Planning) และในบางครั้งยังเป็นส่วนที่มีอิทธิพลในการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับองค์กร จึงถือได้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศ และการวางแผนด้านกลยุทธ์มีความสัมพันธ์แบบพึ่งพากัน โดยกิจกรรมในองค์กร (Corporate Activities) จำเป็นต้องใช้ข้อมูลจาก IT Activities เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ โดย IT Activities จะต้องสอดคล้องกับกิจกรรมในองค์กร และช่วยให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลอย่างเต็มที่ในการสร้างประโยชน์สูงสุด และได้ผลตอบแทนจากการลงทุนจากโอกาสทางธุรกิจต่าง ๆ รวมทั้งสามารถเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น

โดยปกติแล้วองค์กรจะมีการกำกับ บริหาร และควบคุมโดยใช้หลักการจัดการ และการปฏิบัติที่เหมาะสมหรือที่ดีที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรจะสามารถบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ต้องการ โดยต้องมีการควบคุมที่ดีด้วย

และในขณะเดียวกันเทคโนโลยีสารสนเทศก็จำเป็นต้องมีการกำกับ บริหาร และควบคุมที่ดี โดยยึดหลักการของ Best Practices เช่นเดียวกัน เพื่อให้ข้อมูล และเทคโนโลยีที่ใช้ในองค์กร สามารถช่วยให้องค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจได้ รวมทั้งการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างมีเหตุมีผล และมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม
องค์กร ควรสร้างคุณค่าเพิ่ม และความน่าเชื่อถือจากผู้มีผลประโยชน์ร่วมโดยการปรับปรุง Business Process และลดขนาดขององค์กร โดยจัดให้มีการจัดองค์กรใหม่อย่างเหมาะสมต่อไป


IT Governance & Control Objective to Environmental Control

เมษายน 4, 2009

เพื่อให้ท่านผู้อ่านทราบถึงแนวคิดและหลักการ IT Governance ตามหลักการของ COBIT ที่คัดย่อมาจาก IT Governance Institute ที่ใช้กันทั่วไปและเป็นสากลในบางมุมมองที่เกี่ยวข้องกับ Control OBjective for Information and Technology ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารและการจัดการสารสนเทศที่ดีทางด้านการบริหารสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะที่ดี คือ ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ การรักษาความลับ ความครบถ้วนถูกต้อง สภาพพร้อมใช้งาน การปฏิบัติตามกฎ ความเชื่อถือได้ ซึ่งมี 34 Process และหนึ่งในนั้นก็คือ การดำเนินธุรกิจที่ต่อเนื่องและการบริหารความเสี่ยง เพื่อสนับสนุนแนวทางของคณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยงในการใช้ปัจจัยในการประเมินที่เกี่ยวข้องกับ BCM และ Environmental Control ที่เกี่ยวกับมาตรฐาน EN 1047-2 บางมุมมอง วันนี้ผมจึงขอนำเสนอแนวคิด หลักการ และความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับ IT Governance & Control Objective to Environmental Control ตามหัวเรื่องที่ได้กล่าวไว้ครับ

แนวคิดหลักของ IT Governance คือ รูปแบบโครงสร้างของความสัมพันธ์ กระบวนการการจัดการและการปฏิบัติในองค์กรที่ผู้บริหารใช้กำกับ และควบคุมองค์กรให้บรรลุถึงเป้าประสงค์ โดยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างความสมดุลในการจัดการกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้รับจาก เทคโนโลยีสารสนเทศ และจากกระบวนการที่เกี่ยวข้อง

สารสนเทศขององค์กรต้องสามารถตอบสนองความต้องการด้านคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และการรักษาความปลอดภัย เช่นเดียวกับสินทรัพย์อื่น ๆ หรือยิ่งกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ เพราะหลายกรณี การดำเนินธุรกิจที่ต่อเนื่องเป็นความสำคัญยิ่งยวดที่มิอาจจะผลักภาระไปยังบุคคลอื่นหรือทำการประกันภัยใด ๆ เพื่อให้ความมั่นใจอย่างสมเหตุสมผลว่า ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องตามหลักการ Business Continuity Management

ผู้บริหารควรเข้าใจถึงสถานภาพของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กร และตัดสินใจว่าควรมีการดำเนินการควบคุม และสร้างศักยภาพอย่างไร จึงจะเหมาะสมอย่างผสมผสานกับธุรกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดขององค์กร ทั้งนี้โดยคำนึงถึงคุณลักษณะสารสนเทศที่ดีและความสามารถในการบริหารทรัพยากรเทคโนโลยีสารสนเทศจาก 34 กระบวนการที่กำหนดไว้ภายใต้ 4 โดเมน / กรอบหลักของการบริหาร IT Governance

หลักการและความเป็นจริงในการกำหนดกรอบ IT Governance
ความจำเป็นที่ต้องมีการควบคุมการจัดการและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
1. การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) มีความก้าวหน้าขึ้นเป็นอันมาก ทำให้สารสนเทศสามารถส่งผ่านถึงผู้รับได้อย่างรวดเร็วโดยปราศจากข้อจำกัดด้านเวลา ระยะทาง และสถานที่ซึ่งมีผลถึงศักยภาพการแข่งขันอย่างสำคัญ
1.1. การพึ่งพาการใช้งานจากสารสนเทศ (Information) และระบบต่าง ๆ (Systems) ที่เพิ่มมากขึ้น
1.2. การเพิ่มขึ้นของการใช้สารสนเทศที่ใช้ในการพัฒนา Business Process และการให้บริการลูกค้า
1.3. การเปลี่ยนแปลงของต้นทุน และขนาดของการลงทุนของข้อมูล และ Information Systems ในปัจจุบัน และในอนาคต
1.4. ศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในองค์กร รวมทั้งปรับเปลี่ยนหลักการการจัดการ และการปฏิบัติงาน (Business Practices) ซึ่งก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และช่วยให้ต้นทุนลดลงด้วย

2. การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขององค์กรในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนระบบ และกระบวนการทำงานให้กระชับขึ้น โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการปรับปรุงเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น มีการปรับขนาดขององค์กรให้กระชับและมีความเหมาะสม มีการใช้บริการจากภายนอกมากขึ้น มีการกระจายอำนาจและปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็นแนวราบมากขึ้น สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานทั้งขององค์กรเอกชนและองค์กรของรัฐบาล โดยเฉพาะการเน้นไปที่การได้เปรียบในด้านการแข่งขัน (Competitive Advantage) และการเกิดประสิทธิภาพด้านต้นทุน (Cost Efficiency) ซึ่งเป็นผลให้แต่ละองค์กรจำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้นและกลายเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญขององค์กร

การดำเนินธุรกิจที่ต่อเนื่องเป็นความสำคัญยิ่งยวดที่ทุกองค์กรจะต้องตระหนัก โดยจัดให้มีการบริหารความเสี่ยงในมุมมองต่าง ๆ ที่เหมาะสม ตั้งแต่ Logical Control และ Environmental Control เพราะความไม่แน่นอนในการพึ่งพา Offsite Backup มีความเสี่ยงสูงและเป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจยอมรับได้ในหลาย ๆ กรณี เมื่อมีการศึกษา Business Impact Analysis

3. องค์กรต่าง ๆ มองเห็นความสำคัญของสารสนเทศและเทคโนโลยีที่พัฒนา อันถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีค่ายิ่งโดยเฉพาะในโลกของการแข่งขันที่รุนแรง ผู้บริหารจะให้ความสำคัญ และความคาดหวังกับเทคโนโลยีสารสนเทศมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการตอบสนองที่รวดเร็ว มีคุณภาพ สามารถใช้งานได้หลากหลาย และสะดวกต่อการใช้งาน โดยใช้เวลาน้อยลง เพิ่มระดับการบริการให้ดียิ่งขึ้น โดยมีต้นทุนที่ต่ำลง

4. องค์กรที่มีการปฏิบัติงานในระบบอัตโนมัติจำเป็นต้องมีกลไกในการควบคุมที่ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการควบคุมทั้งระบบคอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่าย (Network) ทั้งในด้านของ Hardware และ Software ซึ่งระบบการควบคุมจำเป็นต้องพัฒนาไปพร้อมกับการพัฒนาของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นไปแบบก้าวกระโดด

5. หลายองค์กรได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากเทคโนโลยี สำหรับองค์กรที่ประสบความสำเร็จก็มีความเข้าใจ และสามารถบริหารความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้เกิดมากขึ้นเป็นลำดับ และรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องมีการจัดการความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงนี้ให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับข้อมูลที่เปิดเผย และข้อมูลที่เป็นความลับ รวมทั้งการนำข้อมูลไปใช้กระทำการที่ผิดกฎหมาย ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีสารสนเทศ จึงกลายมาเป็นส่วนสำคัญในการกำกับดูแลกิจการที่ดีขององค์กรขององค์กร (Corporate Governance)

6. ที่ผ่านมาความต้องการในการมีกรอบมาตรฐาน (Framework) สำหรับการจัดการเรื่องความปลอดภัย และการควบคุมทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมีค่อนข้างมาก โดยเฉพาะองค์กรที่ประสบความสำเร็จต่าง ๆ ได้มีความเข้าใจ และประเมินค่าของความเสี่ยงเทียบกับข้อจำกัดในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในทุกระดับขององค์กร เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรจะสามารถมีการกำกับดูแลที่มีประสิทธิผล และมีการควบคุมที่เพียงพอ

7. ระดับบริหารจะต้องสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะลงทุน ณ ระดับใด ในเรื่องการรักษาความปลอดภัย และการควบคุม (Security and Control) และจะรักษาจุดสมดุลอย่างไร ระหว่างความเสี่ยงที่รับได้กับการลงทุนในด้านการควบคุม ถึงแม้การรักษาความปลอดภัย และการควบคุม (Security and Control) ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยในการบริหารความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงก็ยังคงมีอยู่ไม่ได้ถูกกำจัดออกไปทั้งหมด เพราะไม่มีผู้ใดสามารถกำหนดระดับความเสี่ยงได้ชัดเจนแน่นอน

ดังนั้น ผู้บริหารจึงต้องกำหนดระดับความเสี่ยงที่รับได้ โดยเปรียบเทียบกับต้นทุนที่ต้องลงทุน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างยาก จึงจำเป็นต้องมีกรอบมาตรฐาน (Framework) เพื่อให้ทราบถึงการกำหนดนโยบายการรักษาความปลอดภัย และการควบคุมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยคำนึงถึงสภาวะของเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน และที่จะเป็นในอนาคต

8. ระดับผู้ใช้ (Users) ก็ต้องมีความมั่นใจว่ามีการรักษาความปลอดภัย และการควบคุม (Security and Control) อย่างเพียงพอในการใช้งานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้บริการจากภายในองค์กร หรือจากผู้ให้บริการจากภายนอก (Third Party) ก็ตามซึ่งที่ผ่านมาการควบคุมทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจะค่อนข้างสับสนเนื่องจากมีมาตรฐานหลากหลายวิธีจากองค์กรต่าง ๆ

9. ระดับผู้ตรวจสอบ (Auditors) ก็จำเป็นจะต้องมีมาตรฐานสากลในการตรวจสอบ เนื่องจากจะต้องมีจุดยืนในการให้แนวคิด และเหตุผลเกี่ยวกับการตรวจสอบภายในกับระดับบริหาร ซึ่งถ้าปราศจากกรอบมาตรฐานแล้วจะหาจุดพิจารณาถึงระดับการรักษาความปลอดภัย และการควบคุม (Security and Control) ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมได้ค่อนข้างยาก

ความสัมพันธ์ของ IT Governance กับ Corporate Governance
ธรรมาภิบาลทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Governance) เป็นส่วนสำคัญที่รวมอยู่ในความสำเร็จของธรรมาภิบาลขององค์กร (Corporate Governance) โดยจะเป็นจุดวัดของการปรับปรุงในด้านประสิทธิผล และประสิทธิภาพของกระบวนการปฏิบัติงานขององค์กร ธรรมาภิบาลขององค์กรจะเป็นกรอบในการกำหนดแนวทางสำหรับธรรมาภิบาลทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Governance) ส่วนกิจกรรม / กระบวนการต่าง ๆ ขององค์กรจะต้องใช้ข้อมูลจาก กิจกรรม / กระบวนการของเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะธุรกิจหลัก ๆ ขององค์กร

Corporate Governance เป็นผู้ขับเคลื่อน และกำหนดรูปแบบของ IT Governance ขณะเดียวกันเทคโนโลยีสารสนเทศก็ได้สนับสนุนข้อมูลที่จำเป็นต่าง ๆ เพื่อใช้ในการวางแผนด้านกลยุทธ์ (Strategic Planning) และในบางครั้งยังเป็นส่วนที่มีอิทธิพลในการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับองค์กร จึงถือได้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศ และการวางแผนด้านกลยุทธ์มีความสัมพันธ์แบบพึ่งพากัน โดยกิจกรรมในองค์กร (Corporate Activities) จำเป็นต้องใช้ข้อมูลจาก IT Activities เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ โดย IT Activities จะต้องสอดคล้องกับกิจกรรมในองค์กร และช่วยให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลอย่างเต็มที่ในการสร้างประโยชน์สูงสุด และได้ผลตอบแทนจากการลงทุนจากโอกาสทางธุรกิจต่าง ๆ รวมทั้งสามารถเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น

โดยปกติแล้วองค์กรจะมีการกำกับ บริหาร และควบคุมโดยใช้หลักการจัดการ และการปฏิบัติที่เหมาะสมหรือที่ดีที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรจะสามารถบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ต้องการ โดยต้องมีการควบคุมที่ดีด้วย

และในขณะเดียวกันเทคโนโลยีสารสนเทศก็จำเป็นต้องมีการกำกับ บริหาร และควบคุมที่ดี โดยยึดหลักการของ Best Practices เช่นเดียวกัน เพื่อให้ข้อมูล และเทคโนโลยีที่ใช้ในองค์กร สามารถช่วยให้องค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจได้ รวมทั้งการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างมีเหตุมีผล และมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม
องค์กร ควรสร้างคุณค่าเพิ่ม และความน่าเชื่อถือจากผู้มีผลประโยชน์ร่วมโดยการปรับปรุง Business Process และลดขนาดขององค์กร โดยจัดให้มีการจัดองค์กรใหม่อย่างเหมาะสมต่อไป


แนวทาง/กรอบ/คู่มือการบริหารความเสี่ยงขององค์กร

เมษายน 4, 2009

วันนี้ ผมจะมาทบทวนในเรื่องของความหมายของความเสี่ยงและการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร ที่ผมเคยได้กล่าวไปในช่วงต้น ๆ แล้ว ซึ่งเป็นการเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการบริหารจัดการกับความเสี่ยงให้ได้ดุลยภาพ เพื่อบรรลุเป้าประสงค์ขององค์กรต่อไป

ในการบริหารความเสี่ยงขององค์กรทั่วไปนั้น คณะกรรมการบริหาร ผู้บริหารและพนักงานทุกคนในองค์กร ต้องมีความรู้ ความเข้าใจถึงความหมายของความเสี่ยงที่ถูกต้องตรงกัน เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถมองความเสี่ยงไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการกำหนดกลยุทธ์ และการวางแผนขององค์กรได้ในทุกระดับ โดยได้รับการออกแบบให้สามารถบ่งชี้เหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นที่มีผลกระทบต่อองค์กร และสามารถจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่องค์กรยอมรับ เพื่อให้ได้รับความมั่นใจอย่างสมเหตุสมผลในการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร

ความหมายของความเสี่ยงในมุมมองขององค์กรทั่วไป

ความเสี่ยง (Risk) หมายถึง เหตุการณ์ / การกระทำใด ๆ ที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งหากเกิดขึ้นจะมีผลกระทบในเชิงลบ ต่อวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์กร หรือลดโอกาสที่จะบรรลุความสำเร็จต่อการบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของแผนงาน/โครงการที่จะก้าวสู่พันธกิจ และวิสัยทัศน์ ที่ได้กำหนดไว้

โอกาส (Opportunity) หมายถึง เหตุการณ์ที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งหากเกิดขึ้นจะมีผลกระทบในเชิงบวก ต่อวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์กร ซึ่งผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะได้ทบทวนถึงกลยุทธ์ที่เหมาะสม และแผนงานที่เหมาะสมใหม่ เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่ม (Value Creation) ให้กับองค์กร นอกเหนือจากแผนงานและโครงการที่ได้กำหนดไว้แล้ว

ความเสี่ยงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในอนาคต ประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ ความเป็นไปได้ของโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์หรือความน่าจะเกิดขึ้น และความรุนแรงของผลตรงข้ามที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นั้นสิ่งสำคัญต้องทำให้ทั้ง 2 ประการได้สมดุลกัน ดังรูปที่ได้แสดงด้านล่างนี้

ดุลยภาพในการบริหารความเสี่ยงและการสร้างโอกาส

ดุลยภาพในการบริหารความเสี่ยงและการสร้างโอกาส

ประเภทของความเสี่ยง

1. ความเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคหรืออันตราย (Hazard)
เหตุการณ์ในเชิงลบ/เหตุการณ์ไม่ดีที่หากเกิดขึ้นแล้วอาจเป็นอันตรายหรือสร้างความเสียหายต่อองค์กร เช่น ภาวะการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การแข่งขันทางการตลาดทั้งสินค้าและบริการ การเปลี่ยนแปลงนโยบาย กลยุทธ ศักยภาพ ความสามารถของผู้บริหารและพนักงาน เป็นต้น

2. ความเสี่ยงที่เป็นความไม่แน่นอน (Uncertainly)
เหตุการณ์ที่ทำให้ผลที่องค์กรได้รับจากเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ หรือการไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ อันเนื่องมาจากสาเหตุต่าง ๆ กัน เช่น ต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่างบประมาณที่กำหนดไว้ เป็นต้น

3. ความเสี่ยงที่เป็นโอกาส (Opportunity)
เหตุการณ์ที่ทำให้องค์กรเสียโอกาสในการแข่งขันการดำเนินงานและการเพิ่มมูลค่าของผู้มีผลประโยชน์ร่วม เช่น การไม่ส่งเสริมหรือพัฒนาบุคคลากรให้มีทักษะในการปฏิบัติงาน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพขององค์กร เป็นต้น

สาเหตุแห่งความเสี่ยง
ความเสี่ยงทุกประเภทเกิดขึ้นโดยมีเหตุแห่งความเสี่ยง (Risk Driver) ซึ่งอาจเป็นเหตุที่เกิดจากภายในองค์กร ดังตัวอย่างในภาพด้านล่างนี้ ผู้บริหารควรทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อธุรกิจและเหตุแห่งความเสี่ยงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เพื่อจะได้สามารถควบคุมได้อย่างเพียงพอและเหมาะสมต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น

Business Risk Exposures

Business Risk Exposures

ความเสี่ยงสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ โดยองค์กรทั่วไปมักต้องเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้ เช่น แผนงาน/โครงการใหม่ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ การลงทุนไม่ให้ผลตอบแทนตามที่คาดไว้ การละเลยกระบวนการทางธุรกิจ ภาวะการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี คุณภาพหรือปัญหาข้อขัดข้องของกิจกรรมประมวลผลและระบบสารสนเทศ เป็นต้น ดังนั้น องค์กรทั่วไปควรดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดเหตุการณ์ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย แต่สามารถบ่งชี้เหตุการณ์ที่เป็นโอกาสในการเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กร สิ่งที่ทำให้ผู้บริหารต้องให้ความสำคัญหรือการกำหนดระดับความไม่แน่นอนที่องค์กรยอมรับได้ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มคุณค่าให้กับผู้มีผลประโยชน์ร่วมด้วย

การจัดการความเสี่ยงขององค์กร (Enterprise Risk Management – ERM)
COSO (Committee of Sponsoring Organizations of Treadway Commission) ได้เสนอแนวทางใหม่ที่เรียกว่า การจัดการความเสี่ยงขององค์กร (Enterprise Risk Management – ERM) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ระบุและวิเคราะห์ความเสี่ยงในมุมมองของภาพที่เป็นองค์รวมแบบบูรณาการทั่วทั้งองค์กร

ทุกองค์กรไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่หวังผลกำไร องค์กรทางการกุศล หรือหน่วยงานของรัฐบาลที่ตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มคุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้เสีย ทุกองค์กรนั้นต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความท้าทายทางการบริหาร เพื่อที่จะกำหนดระดับของความไม่แน่นอนที่สามารถเตรียมพร้อมในการยอมรับมัน ในความไม่แน่นอนนั้นเป็นได้ทั้งความเสี่ยงและโอกาส มีความเป็นไปได้ทั้งที่จะลดหรือเพิ่มคุณค่า ERM เป็นกรอบความคิดทางการบริหารเพื่อที่จะจัดการกับสภาวการณ์ที่ไม่มีความแน่นอนอย่างมีประสิทธิภาพและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยง โอกาสและการเพิ่มความสามารถในการสร้างคุณค่าได้อย่างแท้จริงในหลักการของการบริหารเชิงรุก หรือการบริหารความเสี่ยงภายใต้หลักการ การกำกับดูแลกิจการที่ดีในการสร้างคุณค่าเพิ่มระยะยาวให้กับองค์กรและสังคม


แนวทาง/กรอบ/คู่มือบริหารความเสี่ยงขององค์กร

เมษายน 3, 2009

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ หลังจากที่ท่านผู้สนใจได้ติดตามแนวทางการบริหารความเสี่ยงขององค์กร มาในระยะหนึ่งแล้ว ก่อนที่จะลงลึงไปในรายละเอียดของการจัดการความเสี่ยง ซึ่งผมจะได้อธิบายในโอกาสต่อไปนั้น ผมอยากให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพของการบริหารจัดการความเสี่ยงขององค์กรว่ามีกระบวนการบริหารความเสี่ยงในภาพโดยรวมเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้เข้าใจและเตรียมพร้อมในการก้าวสู่การจัดการความเสี่ยงต่อไปครับ

กระบวนการบริหารความเสี่ยงในภาพโดยรวม

กระบวนการบริหารความเสี่ยงในภาพโดยรวม

กระบวนการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิผล ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนต่อไปนี้

1. การกำหนดวัตถุประสงค์และกลยุทธ์
การกำหนดวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ ควรกำหนดให้ชัดเจนและสื่อสารให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในองค์กรด้วย เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน

2. การบ่งชี้ความเสี่ยงในมิติต่าง ๆ
ความเสี่ยงและเหตุแห่งความเสี่ยงควรครอบคลุมในเรื่องต่อไปนี้
– ความเสียหายหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจมีผลกระทบในเชิงลบต่อองค์กร
– ความไม่แน่นอนที่อาจมีผลต่อการบรรลุวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ขององค์กร
– เหตุการณ์ที่อาจทำให้องค์กรเสียโอกาสในการได้สิ่งที่ดี

กระบวนการบ่งชี้ความเสี่ยงควรพิจารณาให้ครอบคลุมถึง
– ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นทุกประเภท เช่น ความเสี่ยงทางกลยุทธ์ การเงิน บุคลากร การดำเนินงาน ชื่อเสียง กฎหมาย ภาษีอากร ระบบงาน และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
– ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากสาเหตุทั้งภายในและภายนอกองค์กร

ทั้งนี้อาจอธิบายการสำรวจความเสี่ยงทั่งทั้งองค์กรด้วยภาพดังนี้

การสำรวจความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร

การสำรวจความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร

3. การประเมินความเสี่ยง
เมื่อบ่งชี้ความเสี่ยงได้แล้ว ควรทำการประเมินความเสี่ยง โดยพิจารณาความเสี่ยงที่มีอยู่ก่อนทำการควบคุมใด ๆ จากนั้นจึงพิจารณาดูว่าการปฏิบัติงานในปัจจุบันได้มีวิธีการอย่างไรในการจัดการความเสี่ยง โดยพิจารณาถึงการจัดการต่าง ๆ ดังนี้
– การปฏิบัติงานของผู้บริหารและพนักงาน
– กระบวนการการดำเนินงานขององค์กร
– กิจกรรมการควบคุมภายใน
– โครงสร้างขององค์กรและกระบวนการรายงาน
– การวัดผลการดำเนินงานและการติดตามผลของกิจกรรมต่าง ๆ
– วิธีการสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กร
– ทัศนคติของผู้บริหารต่อความเสี่ยงและวิธีการบริหารความเสี่ยง
– การปฏิบัติด้านบุคลากร
– การปฏิบัติต่อคู่ค้าและสัญญาทางธุรกิจขององค์กร

เมื่อได้พิจารณาถึงการจัดการต่าง ๆ แล้ว จึงทำการประเมินระดับความแรงของความเสี่ยงอีกครั้งหนึ่ง การประเมินความเสี่ยงทุกครั้ง ควรประเมินทั้งในเชิงคุณภาพ เช่น ชื่อเสียง การขาดบุคลากรหลักในการดำเนินงาน และเชิงปริมาณ เช่น ผลขาดทุน การลดลงของรายได้ หรือการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายที่อาจมีผลต่อการบรรลุวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ขององค์กร โดยการประเมินควรพิจารณาให้ครอบคลุมถึงประเด็นดังนี้
– โอกาสของความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น (Likelihood) ความเสี่ยงมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงไร
– ผลกระทบ (Impact) หากมีความเสี่ยงเกิดขึ้น องค์กรจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงไร

4. การจัดการความเสี่ยง
การจัดการความเสี่ยงอาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้
– การหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับความเสี่ยงนั้นเลย จึงอาจทำให้ต้องเปลี่ยนวัตถุประสงค์
– การโอนย้าย โดยโอนความเสี่ยงให้ผู้อื่นช่วยรับผิดชอบ เช่น การทำประกันภัย
– การควบคุม ด้วยการหาวิธีการควบคุมเพิ่มเติมเพื่อจัดการความเสี่ยง
– การยอมรับ โดยใช้วิธีการเดิมต่อไปในการจัดการความเสี่ยง

การบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ ต้องกำหนดบุคคลที่รับผิดชอบในการจัดการความเสี่ยงในแต่ละเรื่องที่ได้รับการบ่งชี้

บุคคลที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการจัดการความเสี่ยงในแต่ละเรื่อง ควรมีคุณสมบัติดังนี้
– สามารถทบทวนประสิทธิภาพของแนวปฏิบัติการบริหารความเสี่ยงที่มีอยู่ในปัจจุบัน
– สามารถจัดให้มีกิจกรรมต่าง ๆ ต่อไปนี้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

 การกำหนดการควบคุมที่ต้องการเพิ่มเติมเพื่อจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่องค์กรยอมรับได้
 การประเมินความเสี่ยงที่เหลืออยู่หลังจากได้มีการจัดการในปัจจุบันแล้ว
 การกำหนดเวลาที่แน่นอนในแต่ละขั้นตอนการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้

5. การติดตามผลและการรายงาน
องค์ประกอบหลักของการติดตามผลและการรายงานคือ
– การประเมินคุณภาพและความเหมาะสมในการปฏิบัติงานเพื่อลดความเสี่ยง รวมถึงการระบุความเสี่ยงที่สามารถโอนย้ายออกไปภายนอกองค์กรได้
– การรายงานความเสี่ยงจากทุกหน่วยงานในองค์กรอย่างสม่ำเสมอ สอดคล้องและต่อเนื่อง

องค์ประกอบสำคัญของการติดตามคือการสื่อสาร ที่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ โดยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การประชุม การจัดทำรายงานประจำเดือน เพื่อให้ผู้บริหารได้ทำการสอบทานสถานะของความเสี่ยงและแผนการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการบอกกล่าวข้อมูลที่สำคัญ และทำให้เกิดการตัดสินใจที่มีประสิทธิผลได้ทันเวลา

สิ่งที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงครั้งนี้ ผมขอสรุปบางมุมมองของการบริหารความเสี่ยงที่สอดประสานกันทั่วทั้งองค์กร เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจภาพของการบริหารความเสี่ยงขององค์กรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

บางมุมมองของการบริหารความเสี่ยงที่สอดประสานทั่วทั้งองค์กร

บางมุมมองของการบริหารความเสี่ยงที่สอดประสานทั่วทั้งองค์กร

ในครั้งหน้าเราจะมาพูดกันถึงการจัดการความเสี่ยงขององค์กรโดยทั่วไปกันครับ


แนวทาง/กรอบ/คู่มือบริหารความเสี่ยงขององค์กร

เมษายน 3, 2009

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ หลังจากที่ท่านผู้สนใจได้ติดตามแนวทางการบริหารความเสี่ยงขององค์กร มาในระยะหนึ่งแล้ว ก่อนที่จะลงลึงไปในรายละเอียดของการจัดการความเสี่ยง ซึ่งผมจะได้อธิบายในโอกาสต่อไปนั้น ผมอยากให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพของการบริหารจัดการความเสี่ยงขององค์กรว่ามีกระบวนการบริหารความเสี่ยงในภาพโดยรวมเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้เข้าใจและเตรียมพร้อมในการก้าวสู่การจัดการความเสี่ยงต่อไปครับ

กระบวนการบริหารความเสี่ยงในภาพโดยรวม

กระบวนการบริหารความเสี่ยงในภาพโดยรวม

กระบวนการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิผล ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนต่อไปนี้

1. การกำหนดวัตถุประสงค์และกลยุทธ์
การกำหนดวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ ควรกำหนดให้ชัดเจนและสื่อสารให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในองค์กรด้วย เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน

2. การบ่งชี้ความเสี่ยงในมิติต่าง ๆ
ความเสี่ยงและเหตุแห่งความเสี่ยงควรครอบคลุมในเรื่องต่อไปนี้
– ความเสียหายหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจมีผลกระทบในเชิงลบต่อองค์กร
– ความไม่แน่นอนที่อาจมีผลต่อการบรรลุวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ขององค์กร
– เหตุการณ์ที่อาจทำให้องค์กรเสียโอกาสในการได้สิ่งที่ดี

กระบวนการบ่งชี้ความเสี่ยงควรพิจารณาให้ครอบคลุมถึง
– ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นทุกประเภท เช่น ความเสี่ยงทางกลยุทธ์ การเงิน บุคลากร การดำเนินงาน ชื่อเสียง กฎหมาย ภาษีอากร ระบบงาน และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
– ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากสาเหตุทั้งภายในและภายนอกองค์กร

ทั้งนี้อาจอธิบายการสำรวจความเสี่ยงทั่งทั้งองค์กรด้วยภาพดังนี้

การสำรวจความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร

การสำรวจความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร

3. การประเมินความเสี่ยง
เมื่อบ่งชี้ความเสี่ยงได้แล้ว ควรทำการประเมินความเสี่ยง โดยพิจารณาความเสี่ยงที่มีอยู่ก่อนทำการควบคุมใด ๆ จากนั้นจึงพิจารณาดูว่าการปฏิบัติงานในปัจจุบันได้มีวิธีการอย่างไรในการจัดการความเสี่ยง โดยพิจารณาถึงการจัดการต่าง ๆ ดังนี้
– การปฏิบัติงานของผู้บริหารและพนักงาน
– กระบวนการการดำเนินงานขององค์กร
– กิจกรรมการควบคุมภายใน
– โครงสร้างขององค์กรและกระบวนการรายงาน
– การวัดผลการดำเนินงานและการติดตามผลของกิจกรรมต่าง ๆ
– วิธีการสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กร
– ทัศนคติของผู้บริหารต่อความเสี่ยงและวิธีการบริหารความเสี่ยง
– การปฏิบัติด้านบุคลากร
– การปฏิบัติต่อคู่ค้าและสัญญาทางธุรกิจขององค์กร

เมื่อได้พิจารณาถึงการจัดการต่าง ๆ แล้ว จึงทำการประเมินระดับความแรงของความเสี่ยงอีกครั้งหนึ่ง การประเมินความเสี่ยงทุกครั้ง ควรประเมินทั้งในเชิงคุณภาพ เช่น ชื่อเสียง การขาดบุคลากรหลักในการดำเนินงาน และเชิงปริมาณ เช่น ผลขาดทุน การลดลงของรายได้ หรือการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายที่อาจมีผลต่อการบรรลุวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ขององค์กร โดยการประเมินควรพิจารณาให้ครอบคลุมถึงประเด็นดังนี้
– โอกาสของความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น (Likelihood) ความเสี่ยงมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงไร
– ผลกระทบ (Impact) หากมีความเสี่ยงเกิดขึ้น องค์กรจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงไร

4. การจัดการความเสี่ยง
การจัดการความเสี่ยงอาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้
– การหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับความเสี่ยงนั้นเลย จึงอาจทำให้ต้องเปลี่ยนวัตถุประสงค์
– การโอนย้าย โดยโอนความเสี่ยงให้ผู้อื่นช่วยรับผิดชอบ เช่น การทำประกันภัย
– การควบคุม ด้วยการหาวิธีการควบคุมเพิ่มเติมเพื่อจัดการความเสี่ยง
– การยอมรับ โดยใช้วิธีการเดิมต่อไปในการจัดการความเสี่ยง

การบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ ต้องกำหนดบุคคลที่รับผิดชอบในการจัดการความเสี่ยงในแต่ละเรื่องที่ได้รับการบ่งชี้

บุคคลที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการจัดการความเสี่ยงในแต่ละเรื่อง ควรมีคุณสมบัติดังนี้
– สามารถทบทวนประสิทธิภาพของแนวปฏิบัติการบริหารความเสี่ยงที่มีอยู่ในปัจจุบัน
– สามารถจัดให้มีกิจกรรมต่าง ๆ ต่อไปนี้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

 การกำหนดการควบคุมที่ต้องการเพิ่มเติมเพื่อจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่องค์กรยอมรับได้
 การประเมินความเสี่ยงที่เหลืออยู่หลังจากได้มีการจัดการในปัจจุบันแล้ว
 การกำหนดเวลาที่แน่นอนในแต่ละขั้นตอนการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้

5. การติดตามผลและการรายงาน
องค์ประกอบหลักของการติดตามผลและการรายงานคือ
– การประเมินคุณภาพและความเหมาะสมในการปฏิบัติงานเพื่อลดความเสี่ยง รวมถึงการระบุความเสี่ยงที่สามารถโอนย้ายออกไปภายนอกองค์กรได้
– การรายงานความเสี่ยงจากทุกหน่วยงานในองค์กรอย่างสม่ำเสมอ สอดคล้องและต่อเนื่อง

องค์ประกอบสำคัญของการติดตามคือการสื่อสาร ที่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ โดยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การประชุม การจัดทำรายงานประจำเดือน เพื่อให้ผู้บริหารได้ทำการสอบทานสถานะของความเสี่ยงและแผนการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการบอกกล่าวข้อมูลที่สำคัญ และทำให้เกิดการตัดสินใจที่มีประสิทธิผลได้ทันเวลา

สิ่งที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงครั้งนี้ ผมขอสรุปบางมุมมองของการบริหารความเสี่ยงที่สอดประสานกันทั่วทั้งองค์กร เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจภาพของการบริหารความเสี่ยงขององค์กรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

บางมุมมองของการบริหารความเสี่ยงที่สอดประสานทั่วทั้งองค์กร

บางมุมมองของการบริหารความเสี่ยงที่สอดประสานทั่วทั้งองค์กร

ในครั้งหน้าเราจะมาพูดกันถึงการจัดการความเสี่ยงขององค์กรโดยทั่วไปกันครับ


CoBIT – กระบวนการบริหารและการควบคุมสารสนเทศที่ดี เพื่อบรรลุ Business Objective

เมษายน 1, 2009

เมื่อวานนี้ ผมได้เล่าสู่กันฟังถึงเรื่องความสำคัญของข้อมูลและสารสนเทศที่ดี ที่มีผลต่อการบริหารและการตรวจสอบเป็นอย่างยิ่ง และได้กล่าวว่า กรอบการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมภายในระดับองค์กร ตามมาตรฐานของ COSO v.2 นั้น มีความสัมพันธ์ 100% กับ COBIT ภายใต้ร่ม IT Governance หรือกระบวนการบริหารและการควบคุมสารสนเทศที่ดี

หากมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันจากที่ผมได้กล่าวข้างต้น น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่น่าจะหยิบยกมาคุยกันอย่างละเอียด เพื่อหาจุดยืนที่แท้จริง ก่อนก้าวไปสู่การบริหารและการตรวจสอบในมุมมองต่าง ๆ รวมทั้งกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับหลักการ Balance Scorecard

เราไม่ควรยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของความรู้ และรีบสรุปว่า นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้น เมื่อมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีนัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ Data และ Integrity of the Information จำเป็นอย่างยิ่งที่เราควรจะมีจุดยืนร่วมกัน นั่นคือ ใช้ Best Practice (ถ้ามี) หรือใช้ Standard โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็น International Standard โดยมี KPI ที่วัดจาก Performance Measurement ที่ได้มาตรฐานที่เกี่ยวเนื่องกัน

วันนี้ผมจึงขออธิบายในรูปของ Slide ในทั้ง 2 เรื่องข้างต้นแทนการอธิบายด้วยคำพูดที่อาจจะเป็นที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับท่านผู้รู้นะครับ

CoBIT – กระบวนการบริหารและการควบคุมสารสนเทศที่ดี

CoBIT – กระบวนการบริหารและการควบคุมสารสนเทศที่ดี

จากภาพข้างต้น ผมขอต่อด้วยการสร้างสะพานเชื่อมความเข้าใจระหว่างกระบวนการจัดการเทคโนโลยีกับการดุลยภาพการบริหารความเสี่ยง เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับองค์กร ทั้งในรูปแบบ Intangible Assets และ Tangible Assets ซึ่งเรียกย่อ ๆ ว่า IT Governance โดยฺ Bridgeing กับบรรษัทภิบาล และ Corporate Governance เพื่อก้าวสู่การบริหารและการจัดการความเสี่ยงที่ดี ที่ได้ดุลยภาพในทุกระดับขององค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจสอบด้าน IT และ Non – IT

COBIT As a Meta framework

COBIT As a Meta framework


CoBIT – กระบวนการบริหารและการควบคุมสารสนเทศที่ดี เพื่อบรรลุ Business Objective

เมษายน 1, 2009

เมื่อวานนี้ ผมได้เล่าสู่กันฟังถึงเรื่องความสำคัญของข้อมูลและสารสนเทศที่ดี ที่มีผลต่อการบริหารและการตรวจสอบเป็นอย่างยิ่ง และได้กล่าวว่า กรอบการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมภายในระดับองค์กร ตามมาตรฐานของ COSO v.2 นั้น มีความสัมพันธ์ 100% กับ COBIT ภายใต้ร่ม IT Governance หรือกระบวนการบริหารและการควบคุมสารสนเทศที่ดี

หากมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันจากที่ผมได้กล่าวข้างต้น น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่น่าจะหยิบยกมาคุยกันอย่างละเอียด เพื่อหาจุดยืนที่แท้จริง ก่อนก้าวไปสู่การบริหารและการตรวจสอบในมุมมองต่าง ๆ รวมทั้งกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับหลักการ Balance Scorecard

เราไม่ควรยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของความรู้ และรีบสรุปว่า นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้น เมื่อมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีนัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ Data และ Integrity of the Information จำเป็นอย่างยิ่งที่เราควรจะมีจุดยืนร่วมกัน นั่นคือ ใช้ Best Practice (ถ้ามี) หรือใช้ Standard โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็น International Standard โดยมี KPI ที่วัดจาก Performance Measurement ที่ได้มาตรฐานที่เกี่ยวเนื่องกัน

วันนี้ผมจึงขออธิบายในรูปของ Slide ในทั้ง 2 เรื่องข้างต้นแทนการอธิบายด้วยคำพูดที่อาจจะเป็นที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับท่านผู้รู้นะครับ

CoBIT – กระบวนการบริหารและการควบคุมสารสนเทศที่ดี

CoBIT – กระบวนการบริหารและการควบคุมสารสนเทศที่ดี

จากภาพข้างต้น ผมขอต่อด้วยการสร้างสะพานเชื่อมความเข้าใจระหว่างกระบวนการจัดการเทคโนโลยีกับการดุลยภาพการบริหารความเสี่ยง เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับองค์กร ทั้งในรูปแบบ Intangible Assets และ Tangible Assets ซึ่งเรียกย่อ ๆ ว่า IT Governance โดยฺ Bridgeing กับบรรษัทภิบาล และ Corporate Governance เพื่อก้าวสู่การบริหารและการจัดการความเสี่ยงที่ดี ที่ได้ดุลยภาพในทุกระดับขององค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจสอบด้าน IT และ Non – IT

COBIT As a Meta framework

COBIT As a Meta framework


กระบวนการบริหารทางด้าน IT Governance บางมุมมอง

เมษายน 1, 2009

ในการบริหารและการจัดการที่ดี – CG ซึ่งผมได้พูดอยู่เสมอ ๆ ว่า แยกกันไม่ได้กับกระบวนการบริหารทางด้าน IT Governance นั้น เพราะว่าหลักการ CG ที่สำคัญมากข้อหนึ่งก็คือ ความโปร่งใสและเป็นธรรม มี Responsibility และ Accountability และส่งเสริม Best Practice เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศ และระดับองค์กร ต้องการข้อมูลและสารสนเทศที่ดีและถูกต้องเป็นปฐม เป็นตัวเริ่มของการบริหารและการจัดการทุกระดับ เพื่อก้าวไปสู่เป้าประสงค์และวิสัยทัศน์ขององค์กรอย่างมีความหมาย

ดังนั้น เมื่อข้อมูลและสารสนเทศเป็นหัวใจของความสำเร็จของการบริหารงาน กระบวนการบริหาร IT Governance ในแต่ละองค์ประกอบจะมีผลกระทบต่อเป้าหมายของการบริหารของการควบคุมสารสนเทศที่ดี ที่มีผลต่อ Business Process และ Business Objective ขององค์กร ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการสร้างคุณลักษณะของสารสนเทศที่ดี และการบริหารทรัพยากรสารสนเทศที่ดี เพื่อก้าวไปพร้อมกันกับการเข้าสู่การกำกับดูแลกิจการที่ดี หรือ CG

หากท่านผู้อ่านได้เห็นภาพโดยสรุปด้านล่างนี้ ก็จะพอเข้าใจได้เกือบจะทันทีถึงความสัมพันธ์ของกระบวนการดังกล่าว และความสัมพันธ์ของกระบวนการบริหารและการจัดการสารสนเทศที่ดี

COBIT_34 Process_PO & AI

COBIT_34 Process_PO & AI

COBIT_34 Process_DS & M

COBIT_34 Process_DS & M

จากแผนภาพข้างต้น ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าจะเกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน ทั้งทางด้าน IT และ Non – IT และการตรวจสอบภายในตามฐานความเสี่ยงต่อไป

ดังนั้น คณะกรรมการและผู้บริหาร รวมทั้งผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบ ควรจะมีความเข้าใจในสภาพแวดล้อมขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อน Business Process ไปสู่ Business Objectives ที่มี Information ที่น่าเชื่อถือได้ตามองค์ประกอบทั้ง 7 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมภายในตามกรอบของ COBIT ภายใต้หลักการ ITG


กระบวนการบริหารทางด้าน IT Governance บางมุมมอง

เมษายน 1, 2009

ในการบริหารและการจัดการที่ดี – CG ซึ่งผมได้พูดอยู่เสมอ ๆ ว่า แยกกันไม่ได้กับกระบวนการบริหารทางด้าน IT Governance นั้น เพราะว่าหลักการ CG ที่สำคัญมากข้อหนึ่งก็คือ ความโปร่งใสและเป็นธรรม มี Responsibility และ Accountability และส่งเสริม Best Practice เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศ และระดับองค์กร ต้องการข้อมูลและสารสนเทศที่ดีและถูกต้องเป็นปฐม เป็นตัวเริ่มของการบริหารและการจัดการทุกระดับ เพื่อก้าวไปสู่เป้าประสงค์และวิสัยทัศน์ขององค์กรอย่างมีความหมาย

ดังนั้น เมื่อข้อมูลและสารสนเทศเป็นหัวใจของความสำเร็จของการบริหารงาน กระบวนการบริหาร IT Governance ในแต่ละองค์ประกอบจะมีผลกระทบต่อเป้าหมายของการบริหารของการควบคุมสารสนเทศที่ดี ที่มีผลต่อ Business Process และ Business Objective ขององค์กร ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการสร้างคุณลักษณะของสารสนเทศที่ดี และการบริหารทรัพยากรสารสนเทศที่ดี เพื่อก้าวไปพร้อมกันกับการเข้าสู่การกำกับดูแลกิจการที่ดี หรือ CG

หากท่านผู้อ่านได้เห็นภาพโดยสรุปด้านล่างนี้ ก็จะพอเข้าใจได้เกือบจะทันทีถึงความสัมพันธ์ของกระบวนการดังกล่าว และความสัมพันธ์ของกระบวนการบริหารและการจัดการสารสนเทศที่ดี

COBIT_34 Process_PO & AI

COBIT_34 Process_PO & AI

COBIT_34 Process_DS & M

COBIT_34 Process_DS & M

จากแผนภาพข้างต้น ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าจะเกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน ทั้งทางด้าน IT และ Non – IT และการตรวจสอบภายในตามฐานความเสี่ยงต่อไป

ดังนั้น คณะกรรมการและผู้บริหาร รวมทั้งผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบ ควรจะมีความเข้าใจในสภาพแวดล้อมขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อน Business Process ไปสู่ Business Objectives ที่มี Information ที่น่าเชื่อถือได้ตามองค์ประกอบทั้ง 7 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมภายในตามกรอบของ COBIT ภายใต้หลักการ ITG