การเรียนการสอนแบบเปิด สมัยเพลโตและอริสโตเติล จากข้อมูลข่าวสารและทัศนคติที่มีความแตกแยกกันเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน

พฤศจิกายน 24, 2009

วันนี้ ยังไม่มีคำถามคำตอบที่เหมาะแก่การแลกเปลี่ยนกัน ผมจึงนำเสนอข้อคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความคิดจากการเรียนการสอนแบบเปิด เพื่อให้นักเรียนและผู้ที่เกี่ยวข้อง คิดใคร่ครวญด้วยเหตุด้วยผล เพื่อหาความจริงที่สามารถจะนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อสังคมในระยะยาวต่อไปได้ดังนี้ ครับ

ข้อมูลจากนี้ไป ส่วนใหญ่ผมนำมาจากหนังสือเรื่อง Reason, Faith and Truth ที่เขียนโดยคุณนิกร สิทธิจริยากรณ์ ซึ่งได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อท้าทายความคิดของผู้ที่ชอบคิด เพื่อเป็นแนวทางให้กับทุกท่านที่ไม่อยากจะถูกบล็อคทางความคิด แต่อยากหรือตั้งใจที่จะพัฒนาความคิดเห็น เพื่อนำตัวเองเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ของความคิดที่มีเหตุมีผล โดยไตร่ตรองข้อมูลที่มาจากทัศนคติที่แตกต่างกัน ช่วยผลักดันให้ชีวิตของท่านว่า ท่านได้ตัดสินใจหรือออกความเห็นได้ถูกต้องแล้วหรือยัง ซึ่งอาจจะนำทางให้เราไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตที่มีเหตุมีผล

ประเทศตะวันตก และประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่เจริญแล้ว โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งเป็นการสอนแบบเปิด นั่นก็คือ คุณครูหรืออาจารย์จะทำหน้าที่กระตุ้น (เปิดประเด็น) และนักเรียน/นักศึกษาก็จะทำการคิดใคร่ครวญด้วยเหตุผล หาข้อสรุปที่เป็นความจริงออกมา ซึ่งเป็นการฝึกพัฒนาสมอง ตั้งแต่เด็ก ๆ จนกระทั่งโต เพื่อให้นักเรียนและนักศึกษาฝึกความคิด และวิเคราะห์ หาข้อเท็จจริงแทนการเรียนการสอนแบบนกแก้ว ซึ่งเป็นการพัฒนานักเรียนและนักศึกษาให้เป็นประชาชนที่มีความเข้มแข็งทางด้านการสร้างนวตกรรมใหม่ ๆ และสามารถแก้ปัญหาของตนเอง ขององค์กร และของประเทศ ได้อย่างเป็นระบบ

ประเทศสิงคโปร์ และประเทศอิสราเอล เป็นตัวอย่างที่ดีมาก เพราะทั้ง 2 เป็นประเทศเล็ก ๆ แต่มีคุณภาพของประชาชนที่สามารถคิดใคร่ครวญด้วยเหตุผล และพัฒนาประเทศไปสู่ระดับแนวหน้าของโลกในด้านต่าง ๆ ได้ แต่ตรงกันข้ามกับประเทศที่มีการเรียนการสอนชนิดแบบปิด คือ สอนแบบให้ท่องจำ และออกข้อสอบในลักษณะใช้ความจำเป็นส่วนใหญ่ จะมีศักยภาพในการแข่งขันระดับต่ำ และมีการพัฒนาประเทศไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วได้ค่อนข้างช้า

ครั้งหนึ่งเมื่อเพลโต ซึ่งเป็นครูของอริสโตเติลสอนบางสิ่งบางอย่างที่อริสโตเติลไม่เห็นด้วย อริสโตเติลจึงโต้แย้ง เพลโตจึงกล่าวว่า “เราเป็นครูของท่านนะ!… ทำไมไม่ให้เกียรติเราบ้าง?”… อริสโตเติลตอบว่า “ครูครับ… ผมให้เกียรติครู แต่ผมต้องให้เกียรติความจริงมากกว่าครูครับ”… จากเหตุการณ์นี้ จึงทำให้เพลโตกล่าวประโยคหนึ่งว่า “โรงเรียนของข้าพเจ้ามีส่วนประกอบอยู่ 2 ส่วน ส่วนแรกก็คือ ร่างกายของนักเรียน และส่วนที่สอง ก็คือสมองของอริสโตเติล”… เพราะเหตุไรเพลโตจึงกล่าวเช่นนั้น…

นั่นก็เพราะว่าท่ามกลางนักเรียนของท่าน มีนักเรียนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีความคิดที่เปิดออก ไม่ถูกบล็อคความคิดเหมือนนักเรียนคนอื่น ๆ… ไม่ถูกบล็อคความคิด โดยความคิดของครู วัฒนธรรมของสังคม เชื้อชาติ หรือแนวความคิดของคนหนึ่งคนใด แต่เขามีความคิดที่เกี่ยวกับความจริงที่เป็นสากล ทะลุกรอบแห่งความคิดของครู ทะลุกรอบของประเพณี วัฒนธรรม ทะลุกรอบของเชื้อชาติ ทะลุกรอบของบรรดานักคิดที่สังคมยอมรับ ซึ่งเป็นความจริงแห่งจักรวาล (Universal truth)

DSC06046

ดังนั้น ภาพวาดภาพนี้ของราฟาเอล จึงมีบุคคลอยู่หลายคนอยู่ในภาพ แต่แบล็คกราวข้างหลังคนเหล่านั้น มีแค่ 2 ภาพ คือ ภาพของท้องฟ้าที่กว้างไกลที่อยู่หลังเพลโตกับอริสโตเติล กับฝาผนังของอาคารที่อยู่ข้างหลังของเหล่านักเรียนคนอื่น ๆ… ราฟาเอลได้วาดภาพนี้เพื่อจะสื่อให้คนที่ชมภาพเห็นว่า ถ้าคนเราจะเชื่ออะไร จะเอาแนวความคิดอะไรมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต หรือจะมอบชีวิตให้กับแนวความคิดใด ๆ แล้ว อย่าถูกบล็อคความคิดเป็นอันขาด ไม่ว่าแนวความคิดนั้น จะมาจากตัวเองหรือมาจากไหนก็ตาม

ซึ่งเมื่อเราได้รับแนวความคิดมาแล้ว เราควรจะให้แนวความคิดนั้นผ่านศักยภาพในการคิดใคร่ครวญ การไตร่ตรองที่อยู่ภายในของเราก่อน เพื่อเราจะได้เชื่อในความจริงที่เป็นความจริงที่เด็ดขาด ซึ่งไม่ใช่ความจริงที่เด็ดขาดที่คนตะวันตกถือว่าเด็ดขาด หรือไม่ใช่ความจริงที่เด็ดขาดที่คนตะวันออกถือว่าเด็ดขาด ไม่ใช่ความจริงที่มาจากผม ไม่ใช่ความจริงที่มาจากคุณ และไม่ใช่ความจริงที่มาจากเขาคนไหน… แต่เป็นความจริงที่เด็ดขาดที่เป็นสากล เป็นความจริงที่เด็ดขาดแห่งจักรวาล (Universal truth)..

ซึ่งเมื่อคนหนึ่งได้รับฟัง ได้สัมผัสความจริงที่เด็ดขาดนั้นแล้ว ไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่า นี่แหละคือความจริงที่เด็ดขาด ที่ไม่ว่าคุณ ผม หรือเขา หรือคนทั่วโลกจะต้องสยบ และไม่มีทางโต้แย้งได้เลย… คนจีนมีสำนวนที่น่าคิดสำนวนหนึ่ง ซึ่งมีความหมายดังนี้ว่า “สิ่งที่ไม่สมควรได้ กลับอย่างได้ เรียกว่า “โลภ”… สิ่งที่สมควรได้ แต่ไม่เอา เรียกว่า “โง่”… สิ่งที่สมควรโต้แย้ง แต่ไม่โต้แย้ง เรียกว่า “ออมชอม”… สิ่งที่ไม่สมควรโต้แย้ง แต่กลับโต้แย้ง เรียกว่า “ใจแข็งกระด้าง”…

เมื่อคนหนึ่งคนใดได้ฟัง ได้สัมผัส “ความจริงที่เด็ดขาด” แล้วเขาจะมีความรู้สึกทันทีว่า ศักยภาพในการเข้าใจที่อยู่ภายในความคิดของเขานั้นจะบีบเขา และผลักดันให้เขาเกิดการเชื่อถือและยอมรับ ซึ่งไม่เพียงแต่เขามีความรู้สึกเช่นนี้เท่านั้น แต่คนทั่วโลกต่างก็มีความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน… และเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าใครยังจะปฏิเสธและโต้แย้งอีก เขาก็เป็นคนที่ไม่รักความจริง และใจแข็งกระด้างเอามาก ๆ เลยทีเดียว…

เมื่อเราได้ทราบแล้วว่า อะไรคือความเด็ดขาด ตรงนี้ให้เรามาดูว่า อะไรคือความจริงแห่งจักรวาลที่เด็ดขาด?… ซึ่งเป็นความจริงที่เด็ดขาดที่ไม่ว่าความคิดตะวันตกหรือความคิดตะวันออกจะต้องสยบ…

Environmental Concept

บทเรียนในวันนี้ ผมต้องการให้ท่านผู้อ่านใช้ดุลยพินิจเกี่ยวกับการติดตามข่าวสาร ซึ่งมีความขัดแย้งค่อนข้างสูงมาก และส่วนใหญ่มีทัศนคติที่คำนึงและพิจารณาเพียงเป้าประสงค์ในกลุ่มของตนเป็นหลัก ทำให้ดุลยภาพของความคิดเห็นจากข่าวสาร มีแนวโน้มที่จะหักล้างซึ่งกันและกัน กับผู้ที่มีความเห็นแตกต่าง แทนที่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก

ความน่าเชื่อถือของประเทศ จะลดน้อยลงไปอยู่ในระดับที่ไม่น่ายอมรับได้ โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์ และนโยบายที่มีกรอบความคิดที่ค่อนข้างแคบ

ดังนั้น การนำบทเรียนในสมัยเพลโตและอริสโตเติล ซึ่งเป็นครูกับนักเรียน ที่ผ่านมานับเป็นพันปีแล้วนั้น จะช่วยให้เกิดข้อคิดถึงการพัฒนาการเรียนการสอนทางด้านความคิด การวิเคราะห์หาความจริงด้วยเหตุด้วยผล โดยใช้ทัศนคติที่ถูกต้อง และคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ก็จะสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ทางด้านความคิด และความแตกแยก ที่พาประเทศของเราถอยหลังลงไปเรื่อย ๆ จนน่าใจหายเป็นอย่างยิ่ง ในปัจจุบัน


ผลกระทบจากการที่รูปแบบของหลักฐานที่ใช้ในการตรวจสอบได้เปลี่ยนแปลงไป (Impact of Changing Evidence on the IT Audit)

พฤศจิกายน 24, 2009

วันนี้ผมจะมาเล่าสู่กันฟัง ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ผลกระทบของหลักฐานการตรวจสอบที่มีจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการตรวจสอบในองค์กรที่ใช้คอมพิวเตอร์ ทั้งในรูปแบบการตรวจสอบ IT Audit และ Manual Audit

ถึงแม้จะเป็นการตรวจสอบระบบงานเดียวกัน แต่หากรูปแบบของหลักฐานการตรวจสอบเปลี่ยนแปลงไป วิธีการและกระบวนการตรวจสอบก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ทั้งนี้เพราะ หลักฐานการตรวจสอบจะมีส่วนสำคัญยิ่งต่อการวางแผนการตรวจสอบของผู้ตรวจสอบภายใน รวมทั้งผู้รับรองงบการเงินในส่วนที่เกี่ยวข้อง

ท่านผู้ตรวจสอบ ลองเปรียบเทียบวิธีและกระบวนการตรวจสอบของตัวอย่าง ซึ่งผมจะได้กล่าวต่อไปนี้นะครับ แล้วพิจารณาว่า ทำไมผู้ตรวจสอบจึงต้องมีวิธีการตรวจสอบที่แตกต่างกันไป จาก 2 ตัวอย่างที่จะกล่าวถึง

ดังนั้น ความเข้าใจในกระบวนการปฏิบัติงาน ในระบบงานที่ตรวจสอบและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งกับผู้ตรวจสอบทุกประเภท สำหรับการวางแผนการตรวจสอบ ยังมีเกร็ดและมุมมองที่จะพิจารณา ที่อาจอธิบายได้เพิ่มเติมอีกมากพอสมควรนั้น ผมจะได้นำมาเล่าสู่กันฟังในภายหลัง เพื่อไม่ให้ท่านผู้ตรวจสอบเบื่อเรื่องการวางแผนการตรวจสอบ ซึ่งอาจจะมีมากมายจากปัจจัยและมุมมองที่แตกต่างกัน

ตัวอย่างในการตรวจสอบข้างล่างนี้ ขอให้ท่านใช้ดุลยพินิจและความเข้าใจให้ดี เพื่อเป็นรากฐานการตรวจสอบในเรื่องอื่น ๆ ต่อไป

กรณีตัวอย่าง ก.

องค์การ ก. ได้ใช้ระบบงานคอมพิวเตอร์ในการจ่ายเงินเดือนพนักงานแต่ละคนจะกรอกรายละเอียดชั่วโมงในใบลงเวลา แล้วให้ผู้ควบคุม (Supervisor) ลงลายมือชื่ออนุมัติ หลังจากนั้นจะรวบรวมข้อมูลไปป้อน (Key) ข้อมูลลง disk โดยใช้เครื่อง key-to-disk machine ซึ่งจะมีสำเนาข้อมูลส่งกลับมาให้ผู้ควบคุมตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อเริ่มต้นงวดรอบระยะเวลาการจ่ายเงินเดือนแต่ละครั้ง จะมีการปรับปรุงข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่นอัตราค่าจ้างและรายการหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ และมีการพิมพ์รายงานแสดงรายละเอียดการจ่ายค่าจ้างของพนักงานแต่ละคนส่งให้แผนกงานต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดเตรียมการจ่ายค่าจ้าง และในขั้นสุดท้ายก็จะมีการจัดพิมพ์เช็ค และส่งให้ผู้ควบคุมแต่ละคน เพื่อจ่ายให้แก่พนักงาน และจะมีการกระทบยอดเช็คสลักหลัง โดยฝ่ายบุคคลที่อยู่แยกต่างหากจากแผนกที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือน

ในระบบกรณีองค์กร ก. ดังกล่าว รูปแบบของหลักฐานจะไม่ถูกกระทบกระเทือนหรือเปลี่ยนไปมากนัก ยังคงสามารถใช้วิธีการตรวจสอบเช่นที่ทำในระบบบเดิมได้ แต่ถ้าผู้ตรวจสอบจะต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพ และความประหยัดในการตรวจสอบ โดยนำเอาเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการตรวจสอบได้ เช่น การใช้ audit software เป็นต้น

กรณีตัวอย่าง ข.

องค์การ ข. ได้ใช้ระบบงานคอมพิวเตอร์ในการจ่ายเงินเดือน ซึ่งระบบนี้จะรวบรวม และบันทึกข้อมูลผ่านเครื่องเทอร์มินอล โดยพนักงานแต่ละคนจะใช้บัตรที่มีแถบแม่เหล็กบันทึกรายการรูดผ่านเครื่องเทอร์มินอล เพื่อบันทึกเวลาที่เข้าทำงานประจำวันและเวลาเลิกงาน เครื่องก็จะบันทึกข้อมูลชั่วโมงการทำงานของพนักงานคนนั้น ๆ ไว้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลหลัก เช่น อัตราค่าจ้าง ฝ่ายบุคคลก็จะป้อนรายการเปลี่ยนแปลง พร้อมวันที่มีผลบังคับใช้ผ่านทางเครื่องเทอร์มินอล เพื่อปรับปรุงข้อมูลใน database โดยตรง ข้อมูลเกี่ยวกับค่าจ้างที่ต้องจ่ายที่ได้จากการประมวลผล จะถูกส่งไปยังธนาคารเพื่อโอนเงินเข้าบัญชีให้พนักงาน ในลักษณะที่เป็นการโอนเงินทางอิเล็คทรอนิกส์ และจะส่ง statement แสดงรายละเอียดการโอนเงินเข้าบัญชีให้แก่พนักงานถึงบ้าน

ในระบบกรณีองค์กร ข. ดังกล่าว จะเห็นว่ารูปแบบของหลักฐานได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จึงจำเป็นต้องอาศัยวิธีการตรวจสอบแบบใหม่ ซึ่งต่างจากการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในกรณี ก. ซึ่งไม่ได้ทำให้รูปแบบของหลักฐานเปลี่ยนแปลงไป จึงสามารถใช้วิธีการตรวจสอบแบบเดิมได้ ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ตัวคอมพิวเตอร์เองนั้น ไม่ได้มีผลต่อผู้ตรวจสอบโดยตรง แต่ผลกระทบจากระบบงานคอมพิวเตอร์ที่มีรูปแบบของหลักฐานที่ใช้ในการตรวจสอบต่างหาก ที่มีความสำคัญ และทำให้ผู้ตรวจสอบต้องกำหนดวิธีการตรวจสอบให้เหมาะสม และสอดคล้องกับรูปแบบของหลักฐานที่ได้เปลี่ยนแปลงไป

อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะมีการตรวจสอบระบบคอมพิวเตอร์นั้น ผู้ตรวจสอบควรทราบถึงลักษณะของเทคโนโลยีที่องค์กรควรใช้เสียก่อน โดยอาจจะใช้ Audit Impact Matrix เพื่อระบุถึงผลกระทบที่มีต่อรูปแบบของหลักฐาน หากเทคโนโลยีนั้นมีผลให้รูปแบบของหลักฐานเปลี่ยนแปลงไป ผู้ตรวจสอบก็ต้องพิจารณาว่า จะมีผลให้ต้องนำวิธีการตรวจสอบแบบใหม่มาใช้หรือไม่ ในกรณีที่รูปแบบของหลักฐานได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ผู้ตรวจสอบอาจจำเป็นต้องมีทักษะหรือความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบ EDP โดยเฉพาะ จึงจะสามารถตรวจสอบได้อย่างเหมาะสม