คน 6 คน กับ หมวก 6 สี (Six Thinking Hats) กับความคิดที่แตกต่างกันของคนในองค์กร และประชาชนในชาติ

มีนาคม 8, 2010

Six Thinking Hats เป็นเทคนิคที่มีความสำคัญ และมีประสิทธิภาพมาก พัฒนาโดย Edward de Bono เป็นกรอบการทำงานที่มองการคิดหลาย ๆ แบบ โดยมีการอุปมาหมวกทั้ง 6 สี เพื่อแสดงถึงความคิดประเภทต่าง ๆ ทำให้เกิดความคิดนอกเหนือจากรูปแบบการคิดที่เป็นปกติวิสัย แต่ช่วยให้มีมุมมองที่กว้างขึ้นตามแต่สถานการณ์ ซึ่งผู้บริหารควรเข้าใจ เพื่อให้การดำเนินการวิเคราะห์ CSA – Control Self Assessment ได้ผลอย่างแท้จริงระหว่างการประชุม หรือ ทำความเข้าใจกับประชาชน ในมุมมองที่แตกต่างกันนำมาสู่เป้าประสงค์ขององค์กร หรือของประเทศได้

คุณลักษณะของหมวกแต่ละสี ซึ่งสะท้อนความคิดเห็น และความเข้าใจของแต่ละคน แต่ละกลุ่ม อาจอธิบายได้สั้น ๆ ตามหลักวิชาการ ซึ่งต้องนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมภายในองค์กร และภายในประเทศ ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ ที่ควรจะสอดคล้องกับหลักการบริหาร และการจัดการที่ดี (CG) และกรอบการจัดการบริหารแบบสอดประสานและบูรณาการ เป็นเอกภาพในระดับชาติ ตามที่เห็นสมควรต่อไปดังนี้ครับ

หมวกสีขาว (White Hat)
บุคคลที่สวมหมวกสีขาว หมายถึง บุคคลที่มุ่งเน้นข้อเท็จจริงที่มีอยู่ และคิดว่าจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ได้แก่
– การวิเคราะห์ข้อมูล หรือแนวโน้มในอดีต
– การวางตัวเป็นกลางและมุ่งไปที่จุดมุ่งหมาย
– การพิจารณาความจริงและไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว
– การบ่งชี้ข้อมูลที่ขาดหายไป
– การกำหนดข้อเท็จจริงที่ดีที่สุด ที่ตรวจสอบและพิสูจน์แล้ว
– การกำหนดข้อเท็จจริงระดับรองที่เชื่อว่าเป็นจริง
– การไม่ใช้ความคิดเห็นส่วนตัว แต่พิจารณาจากข้อมูลที่มีอยู่

หมวกสีเหลือง (Yellow Hat)
บุคคลที่สวมหมวกสีเหลือง คือ บุคคลที่มองโลกในแง่ดี ซึ่งช่วยให้เห็นคุณค่า และประโยชน์ของสิ่งที่กำลังตัดสินใจ ตัวอย่างเช่น
– การไต่ถามและค้นหาคุณค่าและผลประโยชน์
– การมองหาการสนับสนุนที่มีเหตุผล
– การริเร่มและสนับสนุนความคิดเห็นต่าง ๆ
– การมองหาโอกาส
– การเปิดกว้างยอมรับวิสัยทัศน์และความฝัน
บุคคลที่สวมหมวกสีเหลืองช่วยให้การคิดดำเนินต่อไปได้ เมื่ออยู่ในบรรยากาศที่เริ่มมีข้อจำกัด และมีความยาก

สำหรับหมวกสีอื่น ๆ ที่จะกล่าวต่อไปคือ หมวกสีแดง สีน้ำเงิน สีเขียว และสีดำ จะได้กล่าวถึงคุณลักษณะของแต่ละสีที่ใช้ในการบริหารและการจัดการ เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มให้แก่องค์กรและระดับชาติ ในตอนต่อไปนะครับ ขอเพียงว่าประยุกต์ใช้ให้ถูกต้องตามสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ด้วยความเป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้อย่างแท้จริง ตามหลักการ CG ต่อไป


การบริหารการแบ่งสีกับความเห็นเชิงแนะนำของทูตเยอรมัน นายฮันส์ เอช. ชูมัคเกอร์

มีนาคม 8, 2010

จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับที่ 22038 วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2553 พาดหัวข่าวว่า “ทูตเมืองเบียร์ อนาถใจไทยแบ่งสี สอนมวยเตือนรัฐบาล อย่าเพาะศัตรูรอบบ้าน”

ทูตเมืองเบียร์ นายฮันส์ เอช. ชูมัคเกอร์ เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทยให้ สอนรัฐบาลไทยอย่าสร้างศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอาเซียน อนาถใจเห็นคนไทยแตกแยก ไม่เล่นการเมืองในสภา แต่ลงมาเล่นข้างถนน ชี้ทหารตัวการสำคัญสร้างปัญหา ลั่นประชาธิปไตยไม่เกิด ถ้าทหารยังแทรกแซง

นายฮันส์ เอช. ชูมัคเกอร์ ให้สัมภาษณ์ในนามส่วนตัว ภายหลังมอบป้ายความร่วมมือโครงการโรงเรียนความร่วมมือแห่งอนาคต แก่โรงเรียนเบญจมะมหาราช ถึงมุมมองต่อประเทศที่กำลังขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านว่า อยากให้มองดูกลุ่มประเทศยุโรปที่มีความเจริญรุ่งเรืองเพราะร่วมมือกัน จึงฝากถึงรัฐบาลไทยว่า จะอยู่เพียงลำพังประเทศเดียวไม่ได้ รัฐบาลไทยต้องแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนอาเซียน

เอกอัครราชทูตเยอรมนี ประจำประเทศไทยกล่าวต่อว่า ไทยมีความพร้อมกว่าหลายประเทศ แต่น่าเสียใจที่คนในประเทศแตกแยกกัน ความแตกแยกจะฉุดให้ประเทศถอยหลัง ความเห็นแตกต่างทางการเมืองควรว่ากันในสภา ไม่ควรมาว่ากันบนถนน ในศตวรรษที่ 21 ทหารมีแต่ทำให้สังคมมีปัญหาและทหารมีแต่สร้างปัญหา การที่จะไม่ให้ทหารมายุ่งกับการเมือง ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจและพัฒนาประชาธิปไตย โดยประชาชนจัดระบบด้วยตัวเอง ประชาธิปไตยจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อไม่มีการแทรกแซงจากทหาร

วิเคราะห์ข่าวข้างต้นตามแนวทางการบริหารความเสี่ยง ตามหลัก COSO – ERM (Enterprise Risk Management) ตามหลักการที่องค์กรทั่วโลกยอมรับ และใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ทั้งหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานเอกชน ก็จะพบว่า การบริหารความเสี่ยงระดับประเทศ ซึ่งต้องดำเนินการควบคู่กันไปกับ การกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG – Governance และ ITG – IT Governance) ควบคู่กันไปกับการควบคุมภายในและการตรวจสอบ เพื่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ และนโยบายของประเทศนั้น มีเรื่องที่น่าจะปรับปรุงได้มากพอสมควร หากผู้บริหารของรัฐบาล ไม่ว่าจะในยุคใด สมัยใด จะนำหลักการบริหารจัดการองค์กรมาใช้กับการบริหารจัดการองค์กรระดับประเทศ

ข้อสำคัญก็คือ ประเทศไทยเราได้กำหนดวิสัยทัศน์ ซึ่งเป็นทิศทางการดำเนินงานของประเทศในระยะยาวว่า ประเทศไทย ควรเป็นเช่นใด เช่น ในอีก 10 ปีข้างหน้า ทางรัฐฯ และประชาชนทั่วไปทราบกันแล้วหรือยังว่า ทิศทางของประเทศไทย และจุดยืนที่ต้องการจะไปให้ถึงนั้นคืออะไร หากประเทศไทยขาดวิสัยทัศน์ เช่น การกำหนดว่า ในปี 2563 คือ “อีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่พัฒนา และเป็นประชาชนมีความสุข และมีความปรองดองเกิดขึ้นในประเทศอย่างยั่งยืนแล้ว” เป็นต้น

หากวิสัยทัศน์เป็นไปดังกล่าว และมีการกำหนดเป็นวิสัยทัศน์ของประเทศจริง รัฐบาลต้องมีนโยบาย และแผนงานระดับชาติ โดยมีกลยุทธ์ที่สนับสนุนอย่างชัดเจน ถึงทิศทางและแนวทางในการก้าวเดินไปสู่เป้าหมายดังกล่าว โดยมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน ทั้งในลักษณะ Lead Indicators และ Lack Indicators อีกทั้งต้องกำหนด กระทรวง ทบวง กรม ที่ต้องรับผิดชอบ ในการขับเคลื่อนไปสู่ทิศทางดังกล่าว อย่างเป็นเอกภาพ และเป็นบูรณาภาพ ตามหลักการ GRC คือ Governance + Risk Management + Compliance ซึ่งเป็นกรอบการบริหารที่ท้าทายภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ และภาคราชการอย่างมากในปัจจุบัน

ท่านที่สนใจลองติดตามอ่านในหัวข้อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่ปรากฎใน http://www.itgthailand.com นี้นะครับ