วิสัยทัศน์ของประเทศไทย คือ ประเทศที่พัฒนาแล้วในปี 2563 และเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างมั่นคง กับ GRC ในมุมมองระดับประเทศ

มกราคม 14, 2010

ผมเข้าใจในเบื้องต้นของผมเองว่า วิสัยทัศน์ของประเทศไทยในขณะนี้ น่าจะยังไม่ชัดเจน หรืออาจยังไม่ได้กำหนดให้เป็นรูปธรรม หรือไม่มีการสื่อสารที่มีคุณภาพและแพร่หลายพอให้บุคคลที่สนใจและผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ทราบทิศทางของประเทศในอนาคต ที่จะใช้เป็นตัวกำหนดแนวทางหรือกรอบในการดำเนินงาน กรอบความคิด เพื่อก้าวไปสู่การกำหนดนโยบาย กลยุทธ์ แผนงานระดับชาติที่จะมอบหมายต่อไปยัง กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

รวมทั้งกำหนดวาระแห่งชาติ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการช่วยบริหารกิจการของบ้านเมืองให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกา พ.ศ. 2546 ว่าด้วยการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยกำหนดตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานแห่งชาติอย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับระยะเวลาในการก้าวไปสู่วิสัยทัศน์ที่ตั้งใจไว้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ในปี 2563 ในอีก 10 ปีข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ และสมเหตุสมผล

หลักการของ GRC ซึ่งย่อมาจาก Governance + Risk Management + Compliance เป็น Statement ค่อนข้างใหม่ในประเทศไทย เพราะมีเป้าหมายและคำจำกัดความที่แตกต่างกันในแต่ละ wording และ meaning ของ GRC ที่เราเคยรู้จักกันมานานแล้ว เนื่องจาก GRC เป็นการเน้นการสร้างคุณค่าเพิ่มจากการบริหารแบบบูรณาการที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างการบริหาร Governance (CG+ITG) ควบคู่กันไปกับการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) โดยให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้องที่สอดคล้องกับนานาชาติ รวมทั้งกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ คำสั่ง กติกา ของสังคมในชาติโดยคำนึงถึงความคาดหวังของผู้มีผลประโยชน์ร่วม (Stakeholder Expectation) ในทุกระดับ โดยคำนึงถึง Global Governance + Public Governance + Social Governance เป็นสำคัญอีกด้วย

หลักการของ GRC เป็นเรื่องของการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ (Vision & Objectives) ซึ่งเปรียบเทียบได้กับ Input ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Process ในที่นี้จะหมายถึง Integrity – Driven Performance ระดับชาติ เพื่อให้ได้เป้าหมายตาม Vision & Objectives ของประเทศในระยะเวลาที่กำหนด

ผมขอขยายความในความหมายของ GRC เฉพาะในมุมมองของ Compliance เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นตามแผนภาพ ดังนี้ครับ

สำหรับรายละเอียดอื่น ๆ เอาไว้คุยกันในวันหลังนะครับ

การที่ผมนำเรื่อง GRC กับ Vision ของประเทศมาคุยกับท่านผู้อ่านในวันนี้ ก็เพราะ ผมเข้าใจว่า หากประเทศมี Vision ที่ชัดเจน และทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน ทิศทางการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน ก็สามารถสนับสนุนให้วิสัยทัศน์ของประเทศเป็นความจริงได้ในที่สุด


หลักเกณฑ์การพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการ ผู้จัดการผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน (ต่อ)

มกราคม 4, 2010

วันนี้ผมจะมาเล่าเนื้อหาบางประการที่เกี่ยวข้องกับ หลักเกณฑ์การพิจารณาให้ความเห็นชอบ การแต่งตั้งกรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน ของ ธปท. ซึ่งเป็นผู้กำกับที่เข้มแข็ง และกำหนดแนวทางในการบริหารและการจัดการที่ค่อนข้างชัดเจน เพื่อชี้ทิศทางให้สถาบันการเงินก้าวไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ผมจะขอเล่าอย่างสรุปในเรื่องของคุณสมบัติของกรรมการฯ ดังนี้

คณะกรรมการฯ ต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริตและชื่อเสียง (Honesty, Integrity and Reputation) เป็นไปตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ (Competence, Capability and Experiences) ที่จำเป็นและเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบในระดับที่ผู้ประกอบวิชาชีพการเงินการธนาคารพึง มี และต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่น เป็นผู้ที่เคยมีการทำงานที่แสดงถึงการขาดมาตรฐานทางบัญชี มาตรฐานการบริหารความเสี่ยง หรือมาตรฐานทางวิชาชีพอื่น ๆ ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งกำหนดโดยหน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานกำหนดมาตรฐานอื่น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น การอำพรางฐานะทางการเงิน หรือผลการดำเนินงานที่แท้จริง การจงใจหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลในประเด็นอันเป็นสาระสำคัญ การถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เป็นต้น

กรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงินจะต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามที่เกี่ยวกับประเด็นด้านสถานะทางการเงิน (Financial Soundness) เช่น ไม่มีปัญหาในการชำระเงินต้น หรือดอกเบี้ยกับสถาบันการเงิน หรือบริษัทที่ให้สินเชื่อ หรือเข้าข่ายจัดชั้นเป็นลูกหนี้ชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน ชั้นสงสัย ชั้นสงสัยจะสูญ หรือสูญ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ข้อยกเว้นเกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 24 (7) (ข) แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551
เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงินแบบรวมกลุ่ม (Consolidated Supervision) ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงอนุญาตให้ผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของบริษัทที่ได้รับสินเชื่อ ได้รับการค้ำประกัน หรืออาวัล หรือมีภาระผูกพันอยู่กับสถาบันการเงินนั้น และเป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจทางการเงินเดียวกันกับสถาบันการเงิน สามารถเป็นหรือทำหน้าที่กรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงินนั้นได้

ในกรณีที่สถาบันการเงินมีความจำเป็นจะต้องส่งกรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของสถาบันการเงินของตนเข้าไปกำกับดูแลบริษัทที่ได้รับสินเชื่อ หรือได้รับการค้ำประกัน หรืออาวัล หรือมีภาระผูกพันอยู่กับสถาบันการเงินนั้น สมควรอนุญาตให้สถาบันการเงินสามารถส่งกรรมการฯ ไปเป็นผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของบริษัทที่ได้รับสินเชื่อหรือได้รับการค้ำประกัน หรืออาวัล หรือมีภาระผูกพันอยู่กับสถาบันการเงินนั้นได้

หรืออีกนัยหนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของบริษัทที่ได้รับสินเชื่อหรือได้รับการค้ำประกัน หรืออาวัล หรือมีภาระผูกพันอยู่กับสถาบันการเงินที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากสถาบันการเงิน สามารถเป็นหรือทำหน้าที่กรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงินนั้นได้ เพราะเหตุแห่งความจำเป็นที่จะต้องกำกับดูแลลูกหนี้ดังกล่าว

สำหรับเนื้อหาที่เป็นรายละเอียดอื่น ๆ ของหลักเกณฑ์การพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการฯ นอกเหนือจากที่ผมได้สรุปในบางประการข้างต้นแล้ว ท่านผู้อ่านสามารถติดตามได้จากประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส. 14/2552 ครับ


หลักเกณฑ์การพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการ ผู้จัดการผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน

ธันวาคม 26, 2009

วันนี้ผมมีเรื่องหลักเกณฑ์การพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการ ผู้จัดการผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน ของ ธปท. ซึ่งน่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ ในวงการสถาบันการเงิน และในวงการที่เกี่ยวข้อง ที่อาจนำไปประยุกต์ใช้ได้ตามที่เห็นสมควร สำหรับหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน แต่สำหรับหน่วยงานที่เป็นสถาบันการเงิน จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ฯ ที่ สนส. 14/2552 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2552 อย่างเคร่งครัด

ธปท. ได้ระบุไว้ในเหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ โดยกล่าวว่า…ในสภาวะปัจจุบันระบบสถาบันการเงินมีการแข่งขันสูง และธุรกรรมต่าง ๆ ได้วิวัฒนาการไปอย่างรวดเร็ว มีความซับซ้อนและความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น กรรมการและผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงิน จึงจำเป็นจะต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสม ทั้งในด้านจริยธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการ และควบคุมการดำเนินงาน ตลอดจนการกำกับดูแลให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่กำหนดไว้ เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของสถาบันการเงิน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (Stakeholders) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีธรรมาภิบาลที่ดีในระบบสถาบันการเงิน

พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 จึงกำหนดให้การแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน ต้องได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนเข้ารับตำแหน่ง และบุคคลดังกล่าว ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน และไม่มีลักษณะต้องห้าม ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงปรับปรุงคุณสมบัติ และหลักเกณฑ์การพิจารณาให้ความเห็นชอบกรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล

อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 24 (4) ถึงมาตรา 24 (6) มาตรา 24 (7) ข มาตรา 24 (8) ถึงมาตรา 24 (10) และมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 31 มาตรา 33 มาตรา 36 มาตรา 39 มาตรา 41 และมาตรา 43 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติ และหลักเกณฑ์การพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน ให้สถาบันการเงินถือปฏิบัติ

ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินทุกแห่ง ยกเว้นตำแหน่งกรรมการของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ ที่มีสาขาในประเทศไทย ไม่อยู่ภายใต้บังคับของประกาศฉบับนี้

ประกาศที่อ้างอิง
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส. 13/2552 เรื่อง ธรรมาภิบาลของสถาบันการเงิน ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

สำหรับเนื้อหาในประกาศฉบับนี้ จะเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการสรรหา คณะกรรมการกำหนดผลตอบแทน ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวก็มีหลักการที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ และระเบียบของผู้กำกับต่อไปด้วยเช่นกัน และผมจะได้นำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไปนะครับ


การเรียนการสอนแบบเปิด สมัยเพลโตและอริสโตเติล จากข้อมูลข่าวสารและทัศนคติที่มีความแตกแยกกันเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน

พฤศจิกายน 24, 2009

วันนี้ ยังไม่มีคำถามคำตอบที่เหมาะแก่การแลกเปลี่ยนกัน ผมจึงนำเสนอข้อคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความคิดจากการเรียนการสอนแบบเปิด เพื่อให้นักเรียนและผู้ที่เกี่ยวข้อง คิดใคร่ครวญด้วยเหตุด้วยผล เพื่อหาความจริงที่สามารถจะนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อสังคมในระยะยาวต่อไปได้ดังนี้ ครับ

ข้อมูลจากนี้ไป ส่วนใหญ่ผมนำมาจากหนังสือเรื่อง Reason, Faith and Truth ที่เขียนโดยคุณนิกร สิทธิจริยากรณ์ ซึ่งได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อท้าทายความคิดของผู้ที่ชอบคิด เพื่อเป็นแนวทางให้กับทุกท่านที่ไม่อยากจะถูกบล็อคทางความคิด แต่อยากหรือตั้งใจที่จะพัฒนาความคิดเห็น เพื่อนำตัวเองเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ของความคิดที่มีเหตุมีผล โดยไตร่ตรองข้อมูลที่มาจากทัศนคติที่แตกต่างกัน ช่วยผลักดันให้ชีวิตของท่านว่า ท่านได้ตัดสินใจหรือออกความเห็นได้ถูกต้องแล้วหรือยัง ซึ่งอาจจะนำทางให้เราไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตที่มีเหตุมีผล

ประเทศตะวันตก และประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่เจริญแล้ว โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งเป็นการสอนแบบเปิด นั่นก็คือ คุณครูหรืออาจารย์จะทำหน้าที่กระตุ้น (เปิดประเด็น) และนักเรียน/นักศึกษาก็จะทำการคิดใคร่ครวญด้วยเหตุผล หาข้อสรุปที่เป็นความจริงออกมา ซึ่งเป็นการฝึกพัฒนาสมอง ตั้งแต่เด็ก ๆ จนกระทั่งโต เพื่อให้นักเรียนและนักศึกษาฝึกความคิด และวิเคราะห์ หาข้อเท็จจริงแทนการเรียนการสอนแบบนกแก้ว ซึ่งเป็นการพัฒนานักเรียนและนักศึกษาให้เป็นประชาชนที่มีความเข้มแข็งทางด้านการสร้างนวตกรรมใหม่ ๆ และสามารถแก้ปัญหาของตนเอง ขององค์กร และของประเทศ ได้อย่างเป็นระบบ

ประเทศสิงคโปร์ และประเทศอิสราเอล เป็นตัวอย่างที่ดีมาก เพราะทั้ง 2 เป็นประเทศเล็ก ๆ แต่มีคุณภาพของประชาชนที่สามารถคิดใคร่ครวญด้วยเหตุผล และพัฒนาประเทศไปสู่ระดับแนวหน้าของโลกในด้านต่าง ๆ ได้ แต่ตรงกันข้ามกับประเทศที่มีการเรียนการสอนชนิดแบบปิด คือ สอนแบบให้ท่องจำ และออกข้อสอบในลักษณะใช้ความจำเป็นส่วนใหญ่ จะมีศักยภาพในการแข่งขันระดับต่ำ และมีการพัฒนาประเทศไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วได้ค่อนข้างช้า

ครั้งหนึ่งเมื่อเพลโต ซึ่งเป็นครูของอริสโตเติลสอนบางสิ่งบางอย่างที่อริสโตเติลไม่เห็นด้วย อริสโตเติลจึงโต้แย้ง เพลโตจึงกล่าวว่า “เราเป็นครูของท่านนะ!… ทำไมไม่ให้เกียรติเราบ้าง?”… อริสโตเติลตอบว่า “ครูครับ… ผมให้เกียรติครู แต่ผมต้องให้เกียรติความจริงมากกว่าครูครับ”… จากเหตุการณ์นี้ จึงทำให้เพลโตกล่าวประโยคหนึ่งว่า “โรงเรียนของข้าพเจ้ามีส่วนประกอบอยู่ 2 ส่วน ส่วนแรกก็คือ ร่างกายของนักเรียน และส่วนที่สอง ก็คือสมองของอริสโตเติล”… เพราะเหตุไรเพลโตจึงกล่าวเช่นนั้น…

นั่นก็เพราะว่าท่ามกลางนักเรียนของท่าน มีนักเรียนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีความคิดที่เปิดออก ไม่ถูกบล็อคความคิดเหมือนนักเรียนคนอื่น ๆ… ไม่ถูกบล็อคความคิด โดยความคิดของครู วัฒนธรรมของสังคม เชื้อชาติ หรือแนวความคิดของคนหนึ่งคนใด แต่เขามีความคิดที่เกี่ยวกับความจริงที่เป็นสากล ทะลุกรอบแห่งความคิดของครู ทะลุกรอบของประเพณี วัฒนธรรม ทะลุกรอบของเชื้อชาติ ทะลุกรอบของบรรดานักคิดที่สังคมยอมรับ ซึ่งเป็นความจริงแห่งจักรวาล (Universal truth)

DSC06046

ดังนั้น ภาพวาดภาพนี้ของราฟาเอล จึงมีบุคคลอยู่หลายคนอยู่ในภาพ แต่แบล็คกราวข้างหลังคนเหล่านั้น มีแค่ 2 ภาพ คือ ภาพของท้องฟ้าที่กว้างไกลที่อยู่หลังเพลโตกับอริสโตเติล กับฝาผนังของอาคารที่อยู่ข้างหลังของเหล่านักเรียนคนอื่น ๆ… ราฟาเอลได้วาดภาพนี้เพื่อจะสื่อให้คนที่ชมภาพเห็นว่า ถ้าคนเราจะเชื่ออะไร จะเอาแนวความคิดอะไรมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต หรือจะมอบชีวิตให้กับแนวความคิดใด ๆ แล้ว อย่าถูกบล็อคความคิดเป็นอันขาด ไม่ว่าแนวความคิดนั้น จะมาจากตัวเองหรือมาจากไหนก็ตาม

ซึ่งเมื่อเราได้รับแนวความคิดมาแล้ว เราควรจะให้แนวความคิดนั้นผ่านศักยภาพในการคิดใคร่ครวญ การไตร่ตรองที่อยู่ภายในของเราก่อน เพื่อเราจะได้เชื่อในความจริงที่เป็นความจริงที่เด็ดขาด ซึ่งไม่ใช่ความจริงที่เด็ดขาดที่คนตะวันตกถือว่าเด็ดขาด หรือไม่ใช่ความจริงที่เด็ดขาดที่คนตะวันออกถือว่าเด็ดขาด ไม่ใช่ความจริงที่มาจากผม ไม่ใช่ความจริงที่มาจากคุณ และไม่ใช่ความจริงที่มาจากเขาคนไหน… แต่เป็นความจริงที่เด็ดขาดที่เป็นสากล เป็นความจริงที่เด็ดขาดแห่งจักรวาล (Universal truth)..

ซึ่งเมื่อคนหนึ่งได้รับฟัง ได้สัมผัสความจริงที่เด็ดขาดนั้นแล้ว ไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่า นี่แหละคือความจริงที่เด็ดขาด ที่ไม่ว่าคุณ ผม หรือเขา หรือคนทั่วโลกจะต้องสยบ และไม่มีทางโต้แย้งได้เลย… คนจีนมีสำนวนที่น่าคิดสำนวนหนึ่ง ซึ่งมีความหมายดังนี้ว่า “สิ่งที่ไม่สมควรได้ กลับอย่างได้ เรียกว่า “โลภ”… สิ่งที่สมควรได้ แต่ไม่เอา เรียกว่า “โง่”… สิ่งที่สมควรโต้แย้ง แต่ไม่โต้แย้ง เรียกว่า “ออมชอม”… สิ่งที่ไม่สมควรโต้แย้ง แต่กลับโต้แย้ง เรียกว่า “ใจแข็งกระด้าง”…

เมื่อคนหนึ่งคนใดได้ฟัง ได้สัมผัส “ความจริงที่เด็ดขาด” แล้วเขาจะมีความรู้สึกทันทีว่า ศักยภาพในการเข้าใจที่อยู่ภายในความคิดของเขานั้นจะบีบเขา และผลักดันให้เขาเกิดการเชื่อถือและยอมรับ ซึ่งไม่เพียงแต่เขามีความรู้สึกเช่นนี้เท่านั้น แต่คนทั่วโลกต่างก็มีความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน… และเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าใครยังจะปฏิเสธและโต้แย้งอีก เขาก็เป็นคนที่ไม่รักความจริง และใจแข็งกระด้างเอามาก ๆ เลยทีเดียว…

เมื่อเราได้ทราบแล้วว่า อะไรคือความเด็ดขาด ตรงนี้ให้เรามาดูว่า อะไรคือความจริงแห่งจักรวาลที่เด็ดขาด?… ซึ่งเป็นความจริงที่เด็ดขาดที่ไม่ว่าความคิดตะวันตกหรือความคิดตะวันออกจะต้องสยบ…

Environmental Concept

บทเรียนในวันนี้ ผมต้องการให้ท่านผู้อ่านใช้ดุลยพินิจเกี่ยวกับการติดตามข่าวสาร ซึ่งมีความขัดแย้งค่อนข้างสูงมาก และส่วนใหญ่มีทัศนคติที่คำนึงและพิจารณาเพียงเป้าประสงค์ในกลุ่มของตนเป็นหลัก ทำให้ดุลยภาพของความคิดเห็นจากข่าวสาร มีแนวโน้มที่จะหักล้างซึ่งกันและกัน กับผู้ที่มีความเห็นแตกต่าง แทนที่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก

ความน่าเชื่อถือของประเทศ จะลดน้อยลงไปอยู่ในระดับที่ไม่น่ายอมรับได้ โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์ และนโยบายที่มีกรอบความคิดที่ค่อนข้างแคบ

ดังนั้น การนำบทเรียนในสมัยเพลโตและอริสโตเติล ซึ่งเป็นครูกับนักเรียน ที่ผ่านมานับเป็นพันปีแล้วนั้น จะช่วยให้เกิดข้อคิดถึงการพัฒนาการเรียนการสอนทางด้านความคิด การวิเคราะห์หาความจริงด้วยเหตุด้วยผล โดยใช้ทัศนคติที่ถูกต้อง และคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ก็จะสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ทางด้านความคิด และความแตกแยก ที่พาประเทศของเราถอยหลังลงไปเรื่อย ๆ จนน่าใจหายเป็นอย่างยิ่ง ในปัจจุบัน


จิตสำนึกผิดชอบที่เข้มแข็ง สามารถสร้างความน่าเชื่อถือของประเทศ จากความแตกต่างทางความคิดและทัศนคติได้

พฤศจิกายน 14, 2009

การอดทนต่อผู้ที่มีทัศนคติและความคิดเห็นที่แตกต่างกัน จะขึ้นกับจิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนแอหรือเข้มแข็งของผู้ปกครองประเทศ และผู้นำในองค์กร

ความรับผิดชอบของผู้นำที่เข้มแข็ง หรือผู้กำกับองค์กรที่เข้มแข็งนั้น ควรจะยอมรับความคิดเห็นของบุคคลที่มีจิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนแอกว่า หากต้องกระทำเพื่อบรรลุความสำเร็จขององค์กรและประเทศชาติ โดยผู้ที่มีจิตสำนึกผิดชอบที่เข้มแข็ง ไม่ควรดูหมิ่น หรือโต้ตอบในลักษณะเดียวกันกับบุคคลที่มีจิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนแอกว่า

ส่วนผู้ที่มีจิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนแอ ก็คงมีทัศนคติในเชิงบวกที่จะไม่ตำหนิ ติเตียน ผู้นำที่มีจิตสำนึกผิดชอบที่เข้มแข็งหรือสูงกว่า

Slide1

ข้อสำคัญก็คือ ผู้นำหรือผู้บริหารที่มีจิตสำนึกผิดชอบที่เข้มแข็ง ไม่ควรเป็นเหตุให้ผู้ที่มีจิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนแอกว่า หรือมีทัศนคติที่แตกต่างกันต้องแยกตนออกไปจากสังคมที่เข้มแข็งนั้น

เราควรพยายามทำให้พี่ น้อง สังคมในประเทศ และสังคมระหว่างประเทศที่อ่อนแอกว่าเราสบายใจ ไม่ใช่ทำแต่สิ่งที่ตนสบายใจเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็ต้องให้คำแนะนำและข้อสังเกตที่สร้างสรรกับบุคคล และกลุ่มบุคคลที่มีจิตสำนึกที่อ่อนแอกว่า ให้เห็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสังคมและประเทศชาติเป็นสำคัญ

Slide1

บุคคลที่มีความเข้มแข็งกว่า ทั้งทางด้านจิตสำนึก และการกระทำ ควรมีหน้าที่ในการสร้างสันติ และไม่ควรโต้ตอบในระดับเดียวกันกับบุคคลที่มีจิตสำนึกที่อ่อนแอกว่า เพราะอาจได้รับการประเมินหรือพิจารณาจากสังคมโลกว่า บุคคลที่มีจิตสำนึกเข้มแข็งกว่า ขาดความรับผิดชอบในผลที่เกิดขึ้นต่อสังคม (Accountability) ในมุมมองข้อหนึ่งของการกำกับดูแลกิจการที่ดี

โดยหลักการ และโดยพฤติกรรม ผู้มีจิตสำนึกที่สูงกว่าหรือเข้มแข็งกว่า ไม่ควรเพียงแต่เป็นผู้สร้างสันติเท่านั้น แต่ยังควรสร้างพี่ น้อง ที่อ่อนแอของเรา ทางจิตสำนึก หรือมโนธรรม ให้เข้มแข็งขึ้นด้วย ควรทำในสิ่งที่เสริมสร้างบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่มีความอ่อนแอทางจิตสำนึกตามนี้ ด้วยเหตุด้วยผล เพื่อที่จะสามารถช่วยเขาให้มีจิตสำนึกที่เข้มแข็งหรือดีขึ้นต่อไปได้

Slide1

เราไม่สามารถยัดเยียด ความเชื่อ หรือจิตสำนึกที่ดีและเข้มแข็งของคนกลุ่มหนึ่ง ให้กับบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งได้ และควรยึดหลักที่ว่า ผู้ใดไม่มีเหตุที่จะติเตียนตัวเองในสิ่งที่ตนเห็นชอบแล้วนั้น ก็สามารถสร้างสันติสุขได้ เราต้องสร้างสำแดงความอดทน ความรัก และความกรุณาต่อบุคคลที่อ่อนแอ และมีจิตสำนึกหรือมโนธรรมที่อ่อนกว่าด้วยความอดทน

สังคมในโลก สังคมในประเทศ และบุคลากรในแต่ละองค์กร ย่อมมีทัศนคติที่แตกต่างกันตามที่ได้กล่าวไว้บ้างแล้ว เพราะเราต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายที่ถึงแม้ทำงานอย่างอิสระ แต่ก็พึ่งพิงและมีความสำคัญซึ่งกันและกัน ซึ่งผมได้เคยกล่าวและอธิบายไว้แล้วในเรื่อง ISO 27001 ที่พูดถึงเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศ ที่ต้องบริหารในลักษณะ Interdependency

ถ้าเรามีชีวิตอยู่เพื่อตามใจตนเอง และกลุ่มที่มีทัศนคติที่ตรงกันเท่านั้น และภาคภูมิใจความรู้ ความคิดเห็น และเสรีภาพ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบอำนาจของเราโดยไม่ฟังความคิดเห็นของบุคคลที่มีทัศนคติที่แตกต่างกันในสังคมเดียวกัน โดยหลักตรรกะ (Logic) เราก็เป็นต้นเหตุของการแตกแยก การทะเลาะเบาะแว้ง และความพินาศที่เกิดขึ้นในองค์กรและในสังคม

Lesson - Learned from Kim Phuc & Attitude to be Changed

ถ้าเรายอมอ่อนข้อให้กับคนที่อ่อนแอกว่าทางจิตสำนึกและมโนธรรมในทางสร้างสรร และการแสดงออกอย่างชาญฉลาด เมื่อนั้นแหละ เราก็จะช่วยให้เขาหรือกลุ่มที่มีจิตสำนึกที่อ่อนแอกว่าเจริญเติบโตขึ้นมาได้ ภารกิจและความปรองดองของคนในสังคมก็จะเกิดขึ้น และผู้นำในเรื่องนี้ก็จะได้รับการสรรเสริญ


ลักษณะของจิตสำนึกผิดชอบที่ดีที่ต้องได้รับการฝึกฝน เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่ดีให้กับองค์กร

ตุลาคม 31, 2009

วันนี้ผมจะขอเล่าสู่กันฟังในลักษณะของจิตสำนึกผิดชอบที่ดี ที่จะสามารถทำให้พัฒนาองค์กรไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน จากรากฐานที่สำคัญอย่างยิ่ง ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในองค์กรอย่างหนึ่ง ก็คือ การมีวัฒนธรรมที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่องค์กรจะต้องสร้างขึ้น และต้องพัฒนาให้ฝังอยู่ในจิตใจของพนักงาน และมีการอบรมอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนปฐมนิเทศ

ลักษณะของจิตสำนึกผิดชอบที่ดี มี 3 ลักษณะด้วยกัน คือ
1.จิตสำนึกผิดชอบที่ดีมีประสิทธิภาพ เป็นจิตสำนึกผิดชอบที่ทำงานตามปกติในชีวิตประจำวันของเรา ถ้าองค์กรของเรามีพนักงานส่วนใหญ่ที่มีจิตสำนึก ที่มีการตัดสินใจที่ไม่สามารถใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราก็ไม่อาจเรียกได้ว่า องค์กรของเรามีพนักงานที่มีจิตสำนึกผิดชอบที่ดีได้

2. จิตสำนึกผิดชอบที่ดี ช่วยให้เราอยู่บนหนทางที่ถูกต้อง ช่วยให้เรามีความซื่อสัตย์
จิตสำนึกผิดชอบที่ดี ไม่เพียงรักษาเราให้อยู่ในทิศทางที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเป็นคนมีความซื่อสัตย์อีกด้วย

3. จิตสำนึกผิดชอบที่ดี จะช่วยให้มาตรฐานการทำงานของเราสูงขึ้น สามารถตัดสินใจดำเนินการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ส่วนร่วมได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น

สาเหตุของจิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนแอ
จิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนแอ เป็นจิตสำนึกผิดชอบที่ขาดความรู้ ความเข้าใจ ขาดการฝึกฝน ขาดความมั่นใจในตนเอง ขาดศักยภาพ และความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ ขาดมุมมองในการทำงานเพื่อผลประโยชน์ของผู้มีผลประโยชน์ร่วม แต่คิดเพียงทำงานเพื่อผลประโยชน์แก่ตนเอง หรือต่อกลุ่ม ต่อพรรคพวกของตน บุคคลประเภทนี้ ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะรับผิดชอบในการบริหารงานในระดับสูงขององค์กร หรือประเทศชาติ

บุคคลที่มีจิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนแอ จะสนใจแต่เรื่องชื่อเสียงของตน มากกว่าชื่อเสียงขององค์กรและชื่อเสียงของประเทศชาติ บุคคลประเภทนี้จะทำทุกสิ่ง ที่เป็นผลประโยชน์ต่อตนและของกลุ่มเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าบุคคลบางส่วนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ถึงแนวความคิดที่นำไปสู่ผลกระทบของคนในสังคมส่วนใหญ่ นับว่าเป็นท่าทีที่อันตราย อันเกิดจากจิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนแอ หรือสำนึกผิดชอบที่ชั่วร้าย

จิตสำนึกผิดชอบที่ชั่วร้ายจะรักษาให้หายได้ไหม? ผมจะขอกล่าวเรื่องนี้ในตอนต่อไปนะครับ เพราะเรื่องนี้ จะมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับการสร้างวัฒนธรรมที่ดีขององค์กรเป็นอย่างยิ่ง


จิตสำนึกผิดชอบ/มโนธรรม เป็นเครื่องชี้นำพฤติกรรมและการตัดสินใจที่สำคัญ เพื่อนำไปสู่สันติสุขของบุคลากรและของประเทศโดยรวม

ตุลาคม 24, 2009

วันนี้ ผมจะพูดเรื่อง จิตสำนึกผิดชอบ ซึ่งรู้จักกันง่าย ๆ ว่าคือ มโนธรรม ที่จะนำไปสู่การสร้างความสามัคคีของคนในชาติ และสังคมของประเทศ ซึ่งกำลังตกต่ำถึงขีดสุดอยู่ในช่วงเวลา เป็นที่ทราบกันดีอยู่ทั่วไป ทั้งในและต่างประเทศแล้วนั้น

ประเทศของเรากำลังต้องการผู้บริหาร และผู้นำในองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ การขับเคลื่อน ความเข้าใจ และความสามัคคีของคนในชาติ ที่ไม่มีการแบ่งแยกก๊ก แยกเหล่า จากพื้นฐานความระแวง ความเกลียดชัง และมีเป้าหมายที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม หัวข้อเรื่องจิตสำนึกผิดชอบ ชั่วดี จึงเป็นหัวข้อที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ที่จะทำให้ผู้มีหน้าที่ต้องตัดสินใจในการขับเคลื่อนสันติสุขและความไพบูลย์ของชาติ ได้เข้าใจและเชื่อมโยงเรื่องนี้เข้ากับหลักการบริหารและการจัดการที่ดี ที่ปัจจุบันก็ยังเป็นนามธรรมมากกว่ารูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำไปปฏิบัติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักการบริหารบ้านเมืองที่ดี 7 ประการ ที่สัมพันธ์กับหลักการของ Corporate Governance 7 ประการ

กล่าวโดยทั่วไป มนุษย์มีจิตสำนึกผิดชอบ จิตสำนึกผิดชอบชั่วดีนี้ มนุษย์ทุกคนมีความตระหนักอยู่กับใจ แต่การแสดงออกมักสนองตอบที่อาจตรงกันข้ามตามสภาพแวดล้อม และทางวัฒนธรรมของแต่ละคน และของแต่ละกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ความเข้าใจของจิตสำนึกผิดชอบ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผมจะขอกล่าวต่อไป โดยข้อความส่วนใหญ่มาจากหนังสือ Meet Your Conscience ที่แต่งโดย Warren W. Wiersbe ซึ่งได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น ๆ

นักวิทยาศาสตร์พยายามคิดค้นและเสาะหาว่า จิตสำนึกผิดชอบนี้มาจากไหน และก็ได้มีทฤษฎีผิด ๆ ขึ้นหลายทฤษฎีที่อธิบายว่า ต้นกำเนิดของจิตสำนึกผิดชอบพัฒนาขึ้นมาอย่างไร บางคนกล่าวว่า จิตสำนึกผิดชอบนั้น เกิดจากสิ่งที่เป็นภูมิหลังของเรา เป็นส่วนหนึ่งของการวิวัฒนาการ มนุษย์มีการวิวัฒนาการมานับหลายศตวรรษ และจิตสำนึกผิดชอบก็วิวัฒนาการตามมาด้วยกัน วิวัฒนาการทางกายภาพนั้น ชาล์ส ดาวิน เจ้าของหนังสือ The Descent of Man ยังกล่าวว่า “สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มากที่สุด ก็คือ สำนึกด้านจริยธรรม หรือ จิตสำนึกผิดชอบ” ดาวินเองไม่สามารถอธิบายได้ว่า จิตสำนึกผิดชอบนี้มาจากไหน

จิตสำนึกผิดชอบไม่ใช่ผลพวงของการวิวัฒนาการ และไม่ใช่สิ่งที่มาจากภูมิหลังของเรา ไม่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ข้าพเจ้าได้ยินการกล่าวอ้างว่า จิตสำนึกผิดชอบนั้นเป็นเพียงการสรุปรวบยอดมาตรฐานต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรานั่นเอง

นักปรัชญาที่ชื่อ โชเป็นเฮาวร์ กล่าวว่า จิตสำนึกผิดชอบนั้นประกอบด้วย “ความกลัวหนึ่งในห้า ความงมงามหนึ่งในห้า ความลำเอียงหนึ่งในห้า อีกหนึ่งในห้าเป็นความเพ้อพก และที่เหลืออีกหนึ่งในห้ามาจากจารีตประเพณี” กล่าวอีกนัยหนึ่ง จิตสำนึกผิดชอบตามความคิดของผู้นี้เป็นเหมือนกับ “ยำรวมมิตร” ซึ่งคน ๆ นั้นนำเอาสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวในสังคมของคนมาประกอบเข้าด้วยกัน

จริงอยู่ สังคมมีส่วนวางมาตรฐานให้แก่เรา แต่สังคมไม่ได้เป็นผู้ให้จิตสำนึกผิดชอบแก่เรา เราทราบว่าจิตสำนึกผิดชอบเป็นองค์ประกอบที่ตอบสนองต่อมาตรฐานที่เรามีอยู่ แต่จิตสำนึกผิดชอบไม่ได้เป็นผู้สร้างมาตรฐานนั้น เช่นเดียวกันกับที่มาตรฐานนั้นไม่ได้สร้างจิตสำนึกผิดชอบ แต่ก็ไม่ได้เป็นแหล่งสร้างความสว่าง เมื่อคนเรามีธรรมเนียมที่ต่างกัน และมาตรฐานที่ต่างกันในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก จิตสำนึกผิดชอบของเราก็ยังทำงานเหมือนกัน ไม่ว่าเราจะอยู่ในที่แห่งใดก็ตาม

จิตสำนึกผิดชอบไม่ได้เกิดจากภูมิหลังของเรา หรือมาจากรอบ ๆ ตัวของเรา หรือแม้แต่มาจากในตัวของเรา มีจิตแพทย์จำนวนมาก ต้องการให้เราเชื่อว่า เราเป็นผู้สร้างจิตสำนึกผิดชอบ ซึ่งเป็นเพียงผลพลอยได้จากการเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนของพ่อแม่เรา

จิตสำนึกผิดชอบเป็นปรากฎการณ์ที่เป็นสากล ปรากฎในทุกที่ทุกแห่งทั่วโลก จึงต้องมีแหล่งกำเนิดแหล่งเดียวกัน และที่มาแหล่งเดียวกันนี้คือพระเจ้า หรือผู้ที่เราเคารพศรัทธา และบูชา ที่ได้ทรงประทานจิตสำนึกไว้ในดวงในของมนุษย์ทุกคน ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวังว่า เราจะทำอย่างไรกับจิตสำนึกผิดชอบของเรา เพราะว่าเป็นของประทานจากเบื้องบนให้แก่พวกเราทุกคนโดยไม่เลือกเชื้อชาติและศาสนา

จิตสำนึกผิดชอบเป็นเครื่องชี้นำพฤติกรรมของเรา นี่เป็นเหตุผลที่ว่าจิตสำนึกผิดชอบมีความสำคัญอย่างไร จิตสำนึกผิดชอบเป็นเครื่องชี้นำการกระทำของเรา ในเรื่องการสร้างความสามัคคีและความสมานฉันท์แห่งชาติ เราควรจะใช้จิตสำนึกผิดชอบเป็นเครื่องชี้นำในการดำเนินงานของกลุ่มต่าง ๆ หากเราสามารถให้จิตสำนึกผิดชอบของเรา ซึ่งทุกคนจะรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรดี อะไรเลว แล้ว เราจะต้องมีแนวทางและมาตรฐานที่ถูกต้องเป็นเครื่องนำทาง

จิตสำนึกผิดชอบเสริมสร้างความสามัคคี ท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนในชาติ แต่สิ่งนี้จะเกิดได้ยาก หากมาตรฐานของจิตสำนึกผิดชอบของคนในชาติ ยังแบ่งแยกเป็นกลุ่ม ๆ แบ่งแยกเป็นสีต่าง ๆ ก็จะก่อให้เกิดปัญหาในด้านความสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ประสบการณ์ และความคิดเห็นของตนเองหรือพวกพ้องเป็นสำคัญ โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์หรือเป้าประสงค์ของชาติเป็นหลัก คนที่มีจิตสำนึกเข้มแข็งก็ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้ แต่ส่วนมากปัญหาในระดับต่าง ๆ มักจะมาจาก คนที่มีจิตสำนึกอ่อนแอมากกว่า

ดังนั้น จิตสำนึกผิดชอบส่งผลต่อการเป็นพลเมืองที่ดีของเราทุกคน หากเรานำจิตสำนึกผิดชอบนี้ ไปใช้ร่วมกับจริยธรรม และจรรยาบรรณในการทำงาน ซึ่งเป็น Soft Control ผสมผสานกันไปกับ Hard Control ที่พูดถึงการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ และกติกาของบ้านเมืองและสังคมได้อย่างลงตัว เพื่อก้าวไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ของการสร้างสันติสุขและสามัคคีของคนในชาติแล้วละก็ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการดำเนินตามกลยุทธ์นี้ ก็จะเป็นไปได้สูงมาก


จิตสำนึกกับการบริหาร เพื่อการจัดการที่ดี / Conscience and Good Governance

ตุลาคม 16, 2009

ความจริงผมตั้งใจที่จะให้หัวข้อคุยกับผู้เขียนนี้ เป็นเรื่องที่ท่านผู้อ่านที่สนใจในบทความต่าง ๆ ของผม ได้เขียนคำถาม หรือเล่าเรื่องที่จะเป็นประโยชน์กับผู้มีผลประโยชน์ร่วม และสังคม มาลงในหัวข้อนี้ และถ้าเป็นคำถาม ผมจะเป็นผู้ตอบในเรื่องที่เกี่ยวข้อง เช่น เรื่องเกี่ยวกับการตรวจสอบ IT Audit / Non – IT Audit หรือ Manual Audit ในเรื่องการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร ในเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี ที่รู้จักกันในนามของคำว่า CG และมีเรื่องที่เกี่ยวเนื่องตามมาอีกมากมาย เช่น ITG และ GRC++ เป็นต้น

ในกรณีที่ยังไม่มีคำถามที่สำคัญ ผมก็จะเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่ปรากฎอยู่ในหัวข้ออื่น ๆ ในเว็บนี้ เช่น ขณะนี้ผมกำลังจะเล่าเรื่อง จิตสำนึก หรือ มโนธรรม กับการจัดการที่ดี ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด แต่ก็ไม่เหมือนกับคำจำกัดความของคำว่า “จริยธรรม” และ “จรรยาบรรณ” เสียทีเดียว

คำว่า จิตสำนึก หรือ มโนธรรม ในความเห็นของผม อยู่ในระดับที่เหนือ หรือสูงกว่า คำว่า จริยธรรม และ จรรยาบรรณ ด้วยซ้ำ เพราะจิตสำนึก เป็นเรื่องของตระหนักความผิดถูก ที่มาจากจิตใจ หรือ จิตวิญญาณ / Spiritual ที่มีความหมายและนัยโน้มไปในทาง ความเชื่อ ที่เป็นความถูกหรือความผิด จากการตัดสินใจหรือการกระทำของตนเอง และสามารถระบุ หรือบอกตัวเองได้ว่า ตนเองได้ทำถูกหรือทำผิด จากความคิดที่ถูกต้อง หรือความคิดที่บิดเบือนไปจากหลักการที่ถูกต้อง และมาจากจิตใจของตนเองที่ไม่มีใครสามารถบังคับได้

ท่านจำได้ไหมครับว่า เมื่อท่านยังเป็นเด็ก หรือเมื่อครั้งที่เรายังไม่รู้ประสีประสาอะไรกับจริยธรรม หรือศีลธรรม แต่เมื่อเราทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นความผิด เราก็รู้ว่ามีสิ่งที่รบกวนเราอยู่ภายในเรา นั่นแหละครับ คือจิตสำนึกผิดชอบ / Conscience แหละครับ

จิตสำนึกผิดชอบเป็นเครื่องชี้นำพฤติกรรมของท่าน และของพวกเราทุกคน

ศาสดาของชาวคริสเตียนตรัสว่า จิตสำนึกผิดชอบนั้น เปรียบเสมือนดวงตาของเรา ดวงตาไม่ได้เป็นต้นกำเนิดของความสว่าง แต่เป็นช่องทางที่ความสว่างนั้นเข้ามาถึงชีวิตของเรา เมื่อมีความสว่างลอดเข้ามาที่ดวงตา เราก็สามารถมองเห็น หรือสามารถบ่งบอกทิศทางที่ต้องการได้

แต่ถ้าเราเป็นคนตาบอด หรือเสียทัศนะในการมองเห็นภายหลังที่มีตาเป็นปกติแล้ว ความสว่างก็ไม่สามารถลอดเข้ามาให้เราได้เห็นอีก เราจึงอยู่ท่ามกลางความมืด ถึงแม้มีความสว่างรอบ ๆ ตัวเราก็ตาม นี่เป็นความจริงใช่ไหมครับ ที่พวกเราได้เห็นอยู่ในปัจจุบัน

เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน เมื่อความสว่างกลับกลายเป็นความมืด สิ่งที่ควรนำเราไปในทิศทางที่ถูกต้อง กลับนำเราไปในทิศทางหรือหนทางที่ผิด เพราะเรามองไม่เห็น ในหลักการของพระคัมภีร์กล่าวถึงสิ่งนี้ว่า เป็นจิตสำนึกผิดชอบที่ชั่วร้าย

มีคนบางคนรู้สึกไม่สบายใจเมื่อทำดี แต่กลับมีความสุขเมื่อได้ทำชั่ว สิ่งนี้แหละเป็นจิตสำนึกผิดชอบที่ชั่วร้าย คนเหล่านี้แหละที่เรียกสิ่งดีว่า “เลว” และเรียกสิ่งเลวว่า “ดี” จิตสำนึกผิดชอบที่ชั่วร้ายเป็นเช่นนี้แหละ จิตสำนึกผิดชอบของท่านเปรียบเหมือนหน้าต่างกระจก และหน้าต่างนี้เป็นทางซึ่งแสงสว่างส่องเข้ามาในชีวิต อย่าปล่อยให้ความสว่างกลายเป็นความมืด

ความแตกแยกจากความคิด จากมุมมองที่แตกต่างกันในชาติเราในปัจจุบัน ที่พิจารณาในมุมมองของตนเองเป็นหลัก ไม่ได้พิจารณามุมมองและความต้องการของสังคมหรือประเทศชาติเป็นหลัก ซึ่งอาจจะเกิดจาก ความคิดที่ไม่สะอาด ความเกลียด ความอิจฉาริษยา การแข่งขันชิงดีชิงเด่น ความกลัว การเป็นศัตรูกัน ความเห็นแก่ตัวและพวกพ้อง การแตกก๊กกัน การทุ่มเถียงถึงความเห็นและเป้าหมายที่แตกต่าง การเยาะเย้ยโจมตีผู้อื่น การหลอกลวงที่มีเล่ห์กลเฉพาะตนหรือเฉพาะกลุ่ม การคดโกง การนินทา ความโลภ ความโอ้อวด +++ ที่ขาดจุดยึดเหนี่ยวจากจิตวิญญาณ และจิตสำนึกรับผิดชอบที่มีต่อสังคมและประเทศชาติเป็นสำคัญ

หากเราขาดมาตรการที่เหมาะสม ผู้นำที่เหมาะสม การศึกษาที่เหมาะสม การปลูกจิตสำนึกที่เหมาะสม ตั้งแต่วัยเยาว์ แต่มีตัวอย่างมากมายของจิตสำนึกชั่วร้ายมากกว่าจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี ทั้งบุคคลและประเทศชาติ และสังคมโดยรวม ก็จะพบกับปัญหายิ่งใหญ่ และมีผลกระทบร้ายแรงจนเกินกว่าระดับที่ยอมรับได้ (Risk Appetite / Risk Tolerance) ซึ่งเกิดจากการขาดทิศทาง นโยบาย กลยุทธ์ในการดำเนินงาน แผนการดำเนินงาน ที่มีลักษณะเป็นบูรณาการ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของชาติ ซึ่งไม่เป็นไปตามหลัก CG เป็นสำคัญ

ความเป็นรูปธรรมตามที่กล่าวข้างต้น ยังไม่ชัดเจนมากนักใช่ไหมครับ แต่สิ่งที่เรารู้กันอยู่ก็คือ ประเทศไทยโดยรวม สังคมโดยรวม กำลังอยู่ในห้วงอันตรายที่ต้องการจิตสำนึกและความรับผิดชอบที่ดี ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ยาก หากทุกคนไม่ร่วมมือกันในการสร้างจิตสำนึกที่ดี เพื่อการจัดการที่ดีและเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศชาติ

ตอนต่อไป เราจะมาพูดถึงเรื่อง การสร้างจิตสำนึกที่ดีในทางปฏิบัติ ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นแทนจิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนแออยู่ในปัจจุบัน


จิตสำนึกผิดชอบหรือมโนธรรม (Conscience) กับการบริหารเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ตามหลัก CG

ตุลาคม 2, 2009

สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

วันนี้ ผมได้ขึ้นหัวข้อใหม่ เพื่อจะได้คุยกับท่านผู้อ่าน และตอบคำถามที่ท่านผู้อ่านสนใจ เท่าที่เวลาจะอำนวย และหากมีเวลา ผมจะมาพูดคุยเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจภายใต้หัวข้อนี้ เช่น ผมคิดว่า “จิตสำนึก” ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารและการจัดการ ตั้งแต่ระดับประเทศ ระดับองค์กร ระดับหน่วยงานและระดับบุคคล เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด ที่จะนำความสำเร็จ ในการพัฒนาและการบริหาร

ภายใต้ร่มใหญ่ที่เป็นกรอบของการบริหารโดยทั่วไปของคำว่า การกำกับและดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance), การบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศที่ดี (IT Governance), การบริหารเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแบบบูรณาการ ที่อาจใช้คำว่า GRC (Governance + Risk Management + Compliance) ที่เป็นเรื่อง on-top จาก COSO-ERM ซึ่งเป็นกรอบการบริหารความเสี่ยงในเชิงรุก โดยการควบคุมปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ในกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อน Business Process ไปสู่ Business Objective ที่ยังขาดความเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ ในหลาย ๆ องค์กร

ทั้ง ๆ ที่ การบริหารความเสี่ยง ตามแนวทางของ COSO-ERM เป็นเรื่องที่มีการปฏิบัติอย่างแพร่หลายทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย มาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ Output และ Outcome เมื่อพิจารณาในมุมมองของหลักการบริหารแบบบูรณาการ (Integration) ซึ่งควรเข้าใจตรงกันว่า เป็นการบริหารข้ามสายงาน โดยเน้นการจัดการที่กระบวนการ (Process) ที่เกิดจากกิจกรรม (Activities) ที่หลากหลายที่ต้องมีการดำเนินการผ่าน Process ซึ่งในแต่ละ Process อันประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ มากมายนั้น จะถูกขับเคลื่อนผ่านไปยังหน่วยงานและสายงานต่าง ๆ ทั่วทั้งองค์กร เพื่อการขับเคลื่อน Business Objective ตามมุมมองของการบริหารกลยุทธ์ทั้ง 4 ตามหลัก Balance Scorecard นั่นเอง

เมื่อผมกล่าวมาถึงช่วงนี้ ท่านก็คงจะเห็นภาพนะครับว่า การควบคุมต่าง ๆ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ระดับนโยบาย เรื่อยมาจนนำไปสู่การปฏิบัตินั้น ควรจะถูกฝัง (Embeded) ไว้ในกิจกรรมและกระบวนการอย่างเป็นระบบ คำว่าถูกฝังในที่นี้ เราคงจะเข้าใจตรงกันนะครับว่า เป็นกระบวนการที่เป็นส่วนหนึ่ง ที่นำไปผสมผสานในทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างอัตโนมัติ และหากไม่มีการดำเนินการ อย่างเป็นขั้นตอนและมีการควบคุมอย่างเป็นอัตโนมัติ ที่ผสมผสานกับระบบ Manual หรือการควบคุม โดยบุคลากรระดับต่าง ๆ แล้ว กิจกรรมดังกล่าว ก็ไม่อาจดำเนินการผ่าน Process ต่าง ๆ ต่อไปได้ และในทุก ๆ Process ที่ขับเคลื่อน Business Objective ก็มีการควบคุมในระดับต่าง ๆ ทั้งในระบบอัตโนมัติ และด้วยคน (Manual)

โปรดดูรูปเพื่อความเข้าใจนะครับ ผมตั้งใจจะพูดเรื่อง “จิตสำนึก” ของการบริหารและการจัดการ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ตามหลัก Corporate Governance และใช้หลักการของ GRC ซึ่งเป็นหลักการและแนวการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ในการขับเคลื่อน การบริหารในลักษณะ Integrity – Driven Performance ซึ่งผมได้เล่าสู่กันฟังไว้แล้ว ในเรื่อง GRC ลองไปดูรูปภาพ และสิ่งที่เล่าสู่กันฟังในหัวข้อนี้นะครับ

การบริหารแบบสอดประสานและบูรณาการ หรือ Integrity - Drive Performance แบบ GRC

ผมจะเล่าสู่กันฟังในเรื่องจิตสำนึก ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารในโอกาสต่อไป โดยขอเกริ่นนำเล็กน้อยในเรื่อง จิตสำนึกผิดชอบ หรือมโนธรรม ที่เป็นเรื่องค่อนข้างยากและลำบากอย่างยิ่ง ในการขับเคลื่อน หรือพัฒนา กฎเกณฑ์ ให้เป็นรูปธรรม เพราะไม่มีกฎหมาย หรือข้อบังคับใด ๆ จะสร้างกฎเกณฑ์ และข้อบังคับ ให้ความรู้สึกที่จะถ่ายทอดเป็นความคิด และการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความเป็นรูปธรรม และความเป็นจริง ที่องค์กรและบุคลากรต่าง ๆ ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะ ประเทศใดก็ตาม องค์กรและบุคลากรใดก็ตาม ที่มีจิตสำนึกผิดชอบ หรือมโนธรรม ที่สามารถขับเคลื่อน จริยธรรม (Ethics) ซึ่งอยู่ในระดับบนสุดยอด ของการขับเคลื่อนการบริหารเพื่อความสำเร็จ ไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ประเทศหรือบุคลากรนั้น จะได้รับความนับถืออย่างยิ่งยวด

เรามาทำความเข้าใจความหมายของคำว่า จิตสำนึกผิดชอบ (Conscience) กันครับ
จิตสำนึกผิดชอบ เป็นส่วนประกอบที่อยู่ในส่วนลึกภายในตัวเราทุกคน ที่บอกให้ทราบว่าการกระทำของเรานั้น ผิดหรือถูก เป็นไปตามมาตรฐานแห่งจิตใจของเราหรือไม่ ออสวอล์ด แชมเบอร์ ให้คำจำกัดความเกี่ยวกับจิตสำนึกผิดชอบไว้ได้ดีว่า “จิตสำนึกผิดชอบ เป็นส่วนประกอบภายในวิญญาณของมนุษย์ ที่ฝังตัวเองอยู่ในส่วนที่สูงที่สุดเท่าที่มนุษย์รู้จัก” จิตสำนึกผิดชอบ ไม่ใช่กฎบัญญัติ แต่จิตสำนึกผิดชอบ เป็นพยานให้กับกฎบัญญัติ และจิตสำนึกผิดชอบ ไม่ใช่มาตรฐาน แต่เป็นพยานให้กับมาตรฐาน แต่ละภูมิภาคของโลกมีมาตรฐานที่แตกต่างกันออกไป

ถ้อยคำดังกล่าว ปรากฎอยู่ในหนังสือ Meet Your Consience ที่แต่งโดย Warren W. Wiersbe ในบทที่ 1 ในเรื่อง กฎภายในใจ ที่เกี่ยวข้องกับมโนธรรม ในพระคัมภีร์ใหม่ของคริสเตียน ซึ่งได้เขียนและกล่าวไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง

ข้อคิดเห็น จากหนังสือ Meet Your Consience นี้ เป็นแรงบันดาลใจของผม ที่จะนำมาประยุกต์ใช้ และหยิบยกมา ในการเล่าสู่กันฟังเรื่องจิตสำนึกผิดชอบ หรือมโนธรรม ในการขับเคลื่อน การกำกับดูแลกิจการที่ดี หรือ CG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และข้อสำคัญที่เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน GRC ที่เป็นเรื่องของ Integrity – Driven Performance ที่ผมย้ำอยู่เสมอนั่นเองครับ

Conscience and Understanding of IT Governance to be an integral part of Enterprise Governance

จะกล่าวถึงเรื่องจิตสำนึก / Conscience หรือ มโนธรรม เพื่อการขับเคลื่อน จริยธรรม / Ethics ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Soft Control ที่เชื่อมโยงกับ ความรับผิดชอบสูงสุด ของมวลมนุษยชาติ และผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศชาติ ทั้งทางด้านทหาร การเมือง เศรษฐกิจ การเงิน สังคม และการบริหารเชิงรุก ที่ต้องมองอนาคตของชาติและส่วนรวมเป็นหลักนะครับ