แนวทาง/กรอบการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร

สิงหาคม 29, 2009

สวัสดีครับ ไม่ได้พูดคุยกันมาก็หลายวันสำหรับ COSO – ERM ที่ตอนนี้ยังคงคุยกันอยู่ในเรื่องของการตอบสนองความเสี่ยงที่เป็นกลยุทธ์ในการจัดการกับความเสี่ยง โดยมีแนวทางในการจัดการความเสี่ยงที่องค์กรอาจพิจารณาได้จากความเสี่ยงของผลงานที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดคุยกันต่อในเรื่องนี้ครับ

การพิจารณาความเสี่ยงจากผลงานที่ผ่านมา ผู้บริหารพิจารณาความเสี่ยงจากองค์กรอย่างกว้าง ๆ หรือจากผลงานที่ผ่านมา ผู้บริหารอาจใช้วิธีการให้ผู้จัดการซึ่งรับผิดชอบแต่ละแผนก หน่วยงานหรือหน่วยธุรกิจ เป็นผู้พิจารณาส่วนประกอบต่าง ๆ ในการประเมินค่าความเสี่ยงและการตอบสนองความเสี่ยงสำหรับหน่วยงาน ซึ่งการมองเช่นนี้จะสะท้อนความเสี่ยงของหน่วยที่สัมพันธ์กับวัตถุประสงค์และระดับของความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ในแง่ของความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในแต่ละหน่วย ผู้บริหารอาวุโสถูกวางตำแหน่งให้ดูแลผลงานขององค์กร เพื่อกำหนดว่าความเสี่ยงขององค์กรสมน้ำสมเนื้อกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ที่สัมพันธ์กับวัตถุประสงค์หรือไม่ ความเสี่ยงอาจคงอยู่ในหน่วยงานที่แตกต่างกันที่อยู่ภายในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของหน่วยงานต่าง ๆ ความเสี่ยงอาจมากเกินกว่าความเสี่ยงที่ยอมรับได้ขององค์กรในภาพรวม ซึ่งในกรณีนี้จำเป็นต้องใช้การตอบสนองความเสี่ยงเพิ่มเติมหรือมีความแตกต่าง

ในทางกลับกัน ความเสี่ยงอาจโต้ตอบองค์กรโดยธรรมชาติ หรือแต่ละหน่วยงานอาจไม่ชอบความเสี่ยง หากผลงานได้รับการพิจารณาน้อยกว่าความเสี่ยงที่ยอมรับได้ขององค์กร ผู้บริหารอาจตัดสินใจที่จะจูงใจให้ผู้บริหารของแต่ละหน่วยธุรกิจยอมรับความเสี่ยงที่มากกว่าในพื้นที่ที่เป็นเป้าหมาย เพื่อทำให้องค์กรโดยรวมมีการเติบโตและผลตอบแทนเพิ่มขึ้น

ในการสร้างผลงานของการตอบสนองความเสี่ยง ผู้บริหารจะจดจำความหลากหลายของการตอบสนองที่ถูกเลือก และผลของการตอบสนองมากมายในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หากเหตุการณ์ที่มีศักยภาพไม่มีความสัมพันธ์โดยตรง

ผู้บริหารอาจประเมินค่าผลของการตอบสนองความเสี่ยงจากเหตุการณ์ แล้วจึงสร้างองค์ประกอบหรือผลงานที่ผ่านมา หากความเสี่ยงที่เหมือนกันคงมีอยู่ในหน่วยงานที่หลากหลาย ผู้บริหารอาจตัดสินใจประเมินค่าผลของการตอบสนองความเสี่ยงจากประเภทหรือกลุ่มของเหตุการณ์โดยเฉพาะ แล้วจึงสร้างภาพผลงาน ภาพผลงานจะส่งผลกระทบกับการโต้ตอบเหตุการณ์ที่เป็นโอกาส หรือเหตุการณ์ที่อาจลดระดับผลทางลบของเหตุการณ์อื่น ๆ ซึ่งควรอยู่ในภาพผลงาน เช่นเดียวกับผลรวมของการตอบสนองทั้งหมด

ฝ่ายจัดการระบุถึงทางเลือกในการตอบสนองความเสี่ยง และพิจารณาถึงผลกระทบต่อเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ที่จะเกิดและผลกระทบที่ตามมา ในความสัมพันธ์ต่อระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Tolerance) และต้นทุนเมื่อเปรียบเทียบกับผลประโยชน์ การออกแบบและดำเนินการตามทางเลือกหรือเครื่องมือในการสนองตอบต่อความเสี่ยง การพิจารณาถึงการตอบสนองความเสี่ยง

การเลือกเครื่องมือในการตอบสนองความเสี่ยงและการดำเนินการเป็นการผสมผสานของกระบวนการจัดการความเสี่ยงขององค์กร โดย ERM ที่มีประสิทธิภาพคือการที่ฝ่ายจัดการเลือกการตอบสนองที่ถูกคาดหวังว่าจะทำให้ความเป็นไปได้ที่จะเกิดความเสี่ยงและผลกระทบที่เกิดขึ้นอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

องค์ประกอบสำคัญของการตอบสนองความเสี่ยง

ครั้งหน้าเราจะไปต่อกันในเรื่องของกิจกรรมควบคุม ซึ่งเป็นกระบวนการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายในกระบวนการถัดไปกันครับ


แนวทาง/กรอบการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร

สิงหาคม 12, 2009

วันนี้เรายังคงเล่าสู่กันฟังในเรื่องของการตอบสนองความเสี่ยง ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน ทั้ง 8 ประการตามหลักของ COSO – ERM โดยเริ่มตั้งแต่ 1.สภาพแวดล้อมภายในองค์กร 2.การกำหนดวัตถุประสงค์ 3.การระบุเหตุการณ์ 4.การประเมินความเสี่ยง 5.การตอบสนองความเสี่ยง 6.กิจกรรมควบคุม 7.ระบบสารสนเทศและการติดต่อสื่อสาร 8.การติดตามและประเมินผล

โดยในครั้งที่แล้วผมได้พูดถึงแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์ในการจัดการความเสี่ยง ครั้งนี้เรามาต่อกันถึงโอกาสในเงื่อนไขของการตอบสนองความเสี่ยงกันเลยดีกว่าครับ

ในการประเมินผลเงื่อนไขการตอบสนอง ผู้บริหารพิจารณาผลที่เกิดขึ้นจากความเป็นไปได้และผลกระทบของความเสี่ยง และจะต้องเข้าใจว่าสิ่งตอบสนองอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นไปได้และผลกระทบต่างกัน

ขีดความสามารถในการตอบสนองต่อการประเมินค่าของความเป็นไปได้และผลกระทบอาจพิจารณาถึงเหตุการณ์ในอดีตและแนวโน้มและเหตุการณ์ในอนาคต ในการประเมินทางเลือกของการตอบสนอง

ผู้บริหารกำหนดผลกระทบที่ใช้หน่วยในการวัดเหมือนกันสำหรับวัตถุประสงค์และความเสี่ยงในฐานะที่ถูกสร้างขึ้นมา ในส่วนประกอบของการประเมินค่าความเสี่ยงการแยกแยะเหตุการณ์ เป็นการอธิบายว่าการจัดการความเสี่ยงขององค์กรแยกแยะเหตุการณ์ ซึ่งมีผลกระทบต่อความสำเร็จของวัตถุประสงค์ขององค์กรทั้งในด้านบวกและด้านลบได้อย่างไร เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบทางด้านบวกจะเป็นตัวแทนของโอกาสและจะถูกส่งกลับไปสู่กลยุทธ์หรือขั้นตอนการตั้งวัตถุประสงค์

เช่นเดียวกันโอกาสที่มีศักยภาพสำหรับผลลัพธ์สำคัญอาจถูกแยะแยะเมื่อมีการพิจารณาการตอบสนองความเสี่ยง ผู้บริหารอาจแยกแยะการตอบสนองที่แปลกใหม่ ซึ่งในขณะที่พอเหมาะกับกลุ่มของการตอบสนอง แล้วอาจจะยังใหม่ต่อองค์กรหรืออุตสาหกรรม โอกาสเช่นนี้อาจครอบคลุมเมื่อเงื่อนไขการตอบสนองที่มีอยู่มาใกล้ถึงขีดจำกัดของประสิทธิภาพ และเมื่อการทำให้ดีขึ้นมีลักษณะเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยให้เกิดกับผลกระทบของความเสี่ยงหรือความเป็นไปได้ เช่น การตอบสนองอย่างมีความคิดสร้างสรรค์โดยบริษัทประกันรถยนต์ที่มีต่ออุบัติเหตุจำนวนมากที่เกิดบนถนนที่เป็นทางแยก บริษัทประกันภัยจึงให้ทุนเพิ่มเติมโดยการติดสัญญาณไฟเพื่อเป็นการลดการเคลมอุบัติเหตุและทำให้เกิดกำไรเพิ่มขึ้น

การตอบสนองที่ถูกเลือก
ทันที่ที่ประเมินผลของทางเลือกในการตอบสนอง ผู้บริหารตัดสินใจว่าจะจัดการความเสี่ยงได้อย่างไร การจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพคือการที่ผู้บริหารเลือก หรือได้รวมการตอบสนองอันนำมาซึ่งความเป็นไปได้ของความเสี่ยงและผลกระทบที่คาดการณ์ไว้ภายในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

การเลือกการตอบสนองอาจจำเป็นต้องพัฒนาแผนปฏิบัติเพื่อให้บรรลุการตอบสนองและการวัดความเสี่ยงบนพื้นฐานของความเสี่ยงส่วนที่เหลือ ยิ่งกว่านั้นกระบวนการจำเป็นต้องทำให้ผู้บริหารมั่นใจในการนำไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการเหล่านี้นำเสนอในการควบคุมกิจกรรม

ผู้บริหารต้องระลึกไว้ว่าความเสี่ยงส่วนที่เหลือบางระดับจะคงอยู่เสมอ ไม่เพียงแต่เพราะว่าทรัพยากรถูกจำกัด แต่เป็นเพราะความไม่แน่นอนของอนาคตและข้อจำกัดตามธรรมชาติในทุก ๆ กิจกรรม

กระบวนการเน้นย้ำ
การประเมินทางเลือกที่จะตอบสนองต่อความเสี่ยงธรรมชาตินั้น ต้องการการพิจารณาเรื่องที่อาจเป็นผลมาจากการตอบสนองตัวเอง ซึ่งอาจเป็นการกระตุ้นกระบวนการเน้นย้ำก่อนที่ผู้บริหารจะตัดสินใจในขั้นสุดท้าย ซึ่งพิจารณาความเสี่ยงที่มีผลมากจากการตอบสนอง รวมถึงอาจไม่ได้ปรากฏให้เห็นได้ทันที

สำหรับกระบวนการที่ 5 ในการตอบสนองความเสี่ยงยังไม่จบเท่านี้ โปรดติดตามต่อในครั้งหน้านะครับ


แนวทาง/กรอบการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร

สิงหาคม 5, 2009

สวัสดีครับ เข้าเดือน 8 ของปี 2009 นี้แล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วเสียจริง ๆ ผมคิดว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากจะบอกเล่าสู่กันฟังจากความรู้ และประสบการณ์ที่ผมมีอยู่ แต่กลับมีเวลาเพียงน้อยนิดในการ update เนื้อหาในแต่ละหมวดหมู่ ซึ่งผมก็พยายามอย่างเต็มที่ในการนำเสนอข้อมูลที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้บริหาร และผู้สนใจเรื่องราวทางด้าน IT Governance

อย่างไรก็ตาม ผมจะพยายามจัดสรรเวลาเพื่อแบ่งปันข้อมูล และนำเสนอเนื้อหาที่มีสาระประโยชน์ ขอให้ท่านผู้บริหารและผู้ที่สนใจ หมั่นติดตาม itgthailand.com แห่งนี้อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะแนวทาง/กรอบการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร ที่ผมได้นำเสนอต่อเนื่องมาถึงกระบวนการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน 8 ประการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยง และในกระบวนการที่ 5 ที่นำเสนออยู่นี้เป็นเรื่องของการตอบสนองต่อความเสี่ยง

จากครั้งที่แล้ว ผมได้นำเสนอกลยุทธ์ในการตอบสนองความเสี่ยง ซึ่งแบ่งเป็น 4 ประเภท ในวันนี้ผมมีแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์ในการจัดการกับความเสี่ยงมานำเสนอครับ

แนวทางในการกำหนดกลยุทธ์ในการจัดการความเสี่ยง
กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงถูกกำหนดขึ้นเพื่อลดระดับของความเสี่ยง (ทั้งผลกระทบและโอกาสเกิด) ให้เป็นไปตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้(Risk Tolerance) โดยผู้บริหารควรพิจารณาทั้งผลจากการดำเนินตามกลยุทธ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันว่า สามารถจัดการกับความเสี่ยงหนึ่ง ๆ หรือกลุ่มของความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใดก่อนที่จะพิจารณาถึงกลยุทธ์การจัดการเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ในส่วนของการบริหารความเสี่ยงสำหรับความเสี่ยงที่สำคัญ องค์กรต้องพิจารณาการตอบสนองจากช่วงของประเภทความเสี่ยง ซึ่งทำให้ลงลึกพอที่จะเลือกการตอบสนองและท้าทายสถานะที่เป็นอยู่

ในการกำหนดการตอบสนองที่มีศักยภาพ ผู้บริหารควรพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. การประเมินผลกระทบการตอบสนองความเสี่ยงจากความเป็นไปได้ และผลกระทบของความเสี่ยงและเงื่อนไขการตอบสนองใดที่ไปในทิศทางเดียวกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ขององค์กร

2. การประเมินค่าต้นทุนกับประโยชน์ของการตอบสนองความเสี่ยง และโอกาสที่เป็นไปได้ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์องค์กรในการข้ามไปจัดการกับความเสี่ยงเฉพาะเจาะจง

เนื่องจากทรัพยากรส่วนใหญ่มีจำกัด องค์กรจึงมักพิจารณาต้นทุนและผลประโยชน์ของเงื่อนไขทางเลือกการตอบสนองความเสี่ยง การวัดผลในเรื่องต้นทุนและผลประโยชน์ของการสร้างเงื่อนไขการตอบสนองความเสี่ยง ได้ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับระดับที่แตกต่างของความถูกต้อง การจัดการกับด้านต้นทุนของสมการจะง่ายกว่า ซึ่งในหลายกรณีสามารถวัดในเชิงปริมาณได้อย่างถูกต้องยุติธรรม ต้นทุนทางตรงทั้งหมดรวมกับการจัดการการตอบสนอง และต้นทุนทางอ้อมที่สามารถวัดผลได้จะถูกพิจารณาเสมอ ๆ บางองค์กรได้รวมเอาต้นทุนทางโอกาสรวมกับการใช้ทรัพยากร

อย่างไรก็ตาม การวัดต้นทุนเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก การวัดปริมาณเวลาและความพยายามหรือการจัดการกับปัจจัยภายในเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ดังเช่น การยอมรับของผู้บริหารในการประเมินค่าทางจริยธรรม หรือการวัดความสามารถของพนักงานที่เป็นผู้ดำเนินการแยกแยะเหตุการณ์และประเมินค่าความเสี่ยง และอาจเป็นความยากที่จะจับข้อมูลข่าวสารภายนอก เช่น ความคิดสร้างสรรค์ทางการตลาดในการค้นหาความชอบของลูกค้า

ในด้านผลประโยชน์อาจรวมถึงคุณค่าทางวัตถุ เช่น ผลประโยชน์ของโปรแกรมการอบรมที่มีประสิทธิภาพ ปรากฏให้เห็นโดยทั่วไปแต่ยากต่อการวัดปริมาณ แม้กระนั้นปัจจัยภายในที่แท้จริงสามารถพิจารณาได้ในแง่การประเมินค่าผลประโยชน์แฝง ความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่ไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้น หรือเหตุการณ์ทางธรรมชาติ และปฏิบัติการและการเงินที่มีประสิทธิภาพมีผลกระทบต่อเหตุการณ์อาจเกิดขึ้นกับองค์กร

ในขณะที่ความท้าทายในการประเมินค่าต้นทุนและผลประโยชน์ยังคงอยู่ การวิเคราะห์ต้นทุน ผลประโยชน์ ควรดำเนินไปในระดับที่เพียงพอที่จะประเมินผลการตอบสนองความเสี่ยงจากพื้นฐานความเสี่ยงของแต่ละคน หรือจากประวัติที่ผ่านมา บางองค์กรอาจเลือกที่จะประเมินค่าการตอบสนองความเสี่ยงในแง่ของความต้องการเพิ่มทุน ตัวอย่างเช่น จุดคุ้มทุน หรือต้นทุน ณ จุดเสี่ยง และอาจพิจารณาในแง่เงินเฟ้อ การลดดอกเบี้ย และการวิเคราะห์ความอ่อนไหว

3. ประเมินโอกาสที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง
ความเสี่ยงที่เป็นธรรมชาติถูกวิเคราะห์และประเมินการตอบสนอง ด้วยเจตนาของการบรรลุระดับความเสี่ยงส่วนที่เหลือให้อยู่ในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หลาย ๆ สิ่งตอบสนองอาจทำให้ความเสี่ยงส่วนที่อยู่ในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และบางครั้งการรวมกันของสิ่งตอบสนองทำให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด เช่นเดียวกันกับสิ่งตอบสนองจะส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงของเหตุการณ์แฝงหลายเหตุการณ์ เนื่องจากการตอบสนองความเสี่ยงอาจทำให้เกิดความเสี่ยงมากมาย ผู้บริหารอาจค้นพบได้ว่าการกระทำที่เพิ่มขึ้นมาไม่ได้ถูกรับประกัน กระบวนการที่มีอยู่อาจเพียงพอหรือจำเป็นต้องปฏิบัติให้ดีกว่า ดังนั้นผู้บริหารจะพิจารณาว่าการตอบสนองที่แยกกันหรือรวมกันจะโต้ตอบกับผลกระทบของเหตุการณ์แฝงได้อย่างไร

หลังจากได้ทำการประเมินเพื่อกำหนดกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิผลจากแนวทางที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้บริหารต้องทำการกำหนดแผนปฏิบัติงาน หรือขั้นตอนในการปฏิบัติ โดยต้องระบุเวลาแล้วเสร็จเพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะมีการดำเนินงานตามกลยุทธ์เพื่อให้เกิดโอกาสตามที่คาดหวังไว้


แนวทาง/กรอบการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร

กรกฎาคม 25, 2009

เมื่อมีการประเมินความเสี่ยงได้แล้วก็ต้องดำเนินการจัดการตอบสนองความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเหล่านั้น การจัดการความเสี่ยงก็คือ กลยุทธ์หรือกิจกรรมที่กำหนดเพื่อจัดการความเสี่ยงให้สอดคล้องกับระดับที่องค์กรยอมรับได้

ผู้บริหารเป็นผู้กำหนดว่าจะประเมินค่าความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกันได้อย่างไร การตอบสนองรวมถึงการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง การลดความเสี่ยง การกระจายความเสี่ยง และการยอมรับความเสี่ยง

วันนี้ผมจึงขอนำเสนอการตอบสนองความเสี่ยง (Risk Response) ซึ่งเป็นกระบวนการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน ตามหลัก COSO – ERM ที่ต้องพิจารณาหลังจากมีการประเมินความเสี่ยงตามที่ได้กล่าวไปในครั้งก่อนแล้ว

ในการพิจารณาการตอบสนองความเสี่ยง ผู้บริหารจะพิจารณาต้นทุนและผลประโยชน์และเลือกการตอบสนองที่นำมาซึ่งความน่าจะเกิด (Likelihood) ที่คาดหวังและผลกระทบภายในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ที่ปรารถนา

วัตถุประสงค์ของการตอบสนองความเสี่ยง
– ลดโอกาสเกิดความเสี่ยงและผลกระทบของความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด โดยการจัดการสาเหตุของความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ หรือจัดการผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นของความเสี่ยง

– การลดผลกระทบของความเสี่ยง ซึ่งโดยมากมักใช้ระบบการเตือนภัยหรือระบบการบริหาร พร้อมด้วยการจัดทำแผนฉุกเฉิน หรือแผนฟื้นฟู

– การเพิ่ม/สร้าง หรือจัดการโอกาสเกิดความเสี่ยงและผลกระทบจากความเสี่ยง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

กลยุทธ์ในการตอบสนอง/บริหารความเสี่ยง
การตอบสนองความเสี่ยงแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk avoidance)
หมายถึง การเลิกหรือหลีกเลี่ยงการกระทำและเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น ในงานที่องค์กรไม่ถนัด อาจหลีกเลี่ยงโดยการเลิกหรือลดการกระทำให้เหลือเท่าที่จำเป็นเพื่อการเรียนรู้ การเพิ่มการใช้บริการจากบุคคลภายนอก หรือการทำสัญญารับช่วงเหมาต่อ เป็นต้น

กล่าวโดยสรุป การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง คือ การไม่ยอมรับความเสี่ยง และอาจทำให้ต้องเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของแผนงานหรือยกเลิกแผนงานโครงการนั้นเสีย

2. การควบคุม และการจัดการกับความเสี่ยง (Risk Control)
หมายถึง การหาวิธีการควบคุมสาเหตุหรือต้นเหตุของปัจจัยเสี่ยงและกำหนดวิธีการจัดการที่ เหมาะสมเพื่อขับเคลื่อนให้แผนงานและโครงการตามกิจกรรมที่กำหนดไว้ดำเนินการไปสู่เป้าประสงค์ได้ในเวลาที่กำหนด หากผู้ที่เกี่ยวข้องไม่อาจดำเนินการได้ต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบว่าไม่อาจดำเนินการต่อไปได้

การลดโอกาสความน่าจะเกิดหรือการลดความเสียหาย หรือการลดทั้ง 2 ด้านพร้อมกัน ก็เป็นการควบคุมและการจัดการความเสี่ยงแบบหนึ่ง การลดความเสี่ยงที่สำคัญคือ การจัดระบบการควบคุมเพื่อป้องกันหรือค้นพบความเสี่ยงเฉพาะวัตถุประสงค์นั้นอย่างเหมาะสมและทันกาลมากขึ้น

รวมถึงการกำหนดแผนสำรองในเหตุฉุกเฉิน (Contingency Planning) ได้แก่ การกำหนดแผนฉุกเฉินสำหรับความเสี่ยงที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว (Known risk) เช่น แผนฉุกเฉินเมื่อไฟฟ้าดับ และเครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่ทำงาน ฯลฯ และการควบคุมโดยเครื่องจักรอัตโนมัติ การใช้ระบบการรายงานและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารและควบคุมที่ดี

3. การกระจายความเสี่ยง (Sharing)
หมายถึง การลดโอกาสความน่าจะเกิดหรือการลดความเสียหาย โดยการแบ่งโอน การหาผู้รับผิดชอบร่วมในความเสี่ยง การจัดประกันภัย การกระจายความเสี่ยง (Diversify the risk) ออกไปในหลายกิจกรรม หลายผลิตภัณฑ์ หลายตลาด เป็นต้น

หรือถ้าหากแผนงาน/โครงการภายใต้กลยุทธ์มีความเสี่ยงเกินกว่าจะยอมรับได้ หรือเกิดความล้มเหลว ทางฝ่ายบริหารขององค์กร ก็อาจจะให้น้ำหนักแผนงานหรือโครงการอื่น ๆ ภายใต้กลยุทธ์เดียวกันนั้น หรือให้น้ำหนักกับแผนงานอื่น ภายใต้กลยุทธ์เดียวกันหรือกลยุทธ์อื่นที่เหมาะกว่าก็ได้

4. การยอมรับความเสี่ยง (Acceptance)
เป็นการยอมรับ โดยใช้วิธีการเดิมต่อไปในการจัดการกับความเสี่ยง หมายถึง กิจกรรมของแผนงานนั้น ๆ มีความเสี่ยงในระดับหนึ่ง แต่ องค์กร รวมทั้งเจ้าของแผนงานสามารถควบคุมและจัดการได้ และสามารถผลักดันกิจกรรมและขั้นตอนต่าง ๆ ของแผนงานนั้น ๆ ไปสู่เป้าประสงค์ได้ในเวลาที่กำหนด หรืออาจอธิบายการยอมรับความเสี่ยงได้ว่า การไม่กระทำการใด ๆ เพิ่มเติม กรณีนี้ใช้กับความเสี่ยงที่มีสาระสำคัญน้อย ความน่าจะเกิดน้อย หรือเห็นว่ามีต้นทุนในการบริหารความเสี่ยงสูง

การตอบสนองแบบหลีกเลี่ยงนั้น คือ การยุติกิจกรรมที่ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น การตอบสนองแบบลดความเสี่ยงนั้นจะลดความน่าจะเกิดหรือผลกระทบที่จะเกิดของเหตุการณ์นั้นหรือทั้งสองอย่าง การกระจายความเสี่ยงจะลดความเสี่ยงที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดและมีผลกระทบโดยโอนความเสี่ยงหรือในอีกแง่หนึ่งคือ การกระจายสัดส่วนของความเสี่ยง ส่วนการยอมรับความเสี่ยงนั้นจะไม่มีการกระทำอะไรที่มีผลต่อความเป็นได้ที่จะเกิดหรือผลกระทบ ในส่วนของ ERM สำหรับแต่ละความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญ องค์กรควรพิจารณาศักยภาพของการตอบสนอง จากขอบเขตของลักษณะการตอบสนองแต่ละประเภท

การหลีกเลี่ยงการตอบสนอง ทำให้คิดว่าความคุ้มค่าหรือต้นทุนของการตอบสนองที่มีมากเกินไปกว่าผลประโยชน์ที่ปรารถนา หรือเงื่อนไขที่ไม่มีการตอบสนองถูกแยกแยะ ในแง่ที่จะลดผลกระทบและความน่าจะเกิด (Likelihood) เพื่อเข้าสู่ระดับที่ยอมรับได้ การลดลงและการกระจายการตอบสนองจะช่วยลดความเสี่ยงส่วนที่เหลือ ไปสู่ระดับซึ่งเข้ากันได้กับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ขององค์กร ในขณะที่การยอมรับการตอบสนอง ทำให้เห็นว่าความเสี่ยงที่เป็นธรรมชาติเข้ากันได้กับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

สำหรับความเสี่ยงจำนวนมาก จะเห็นเงื่อนไขการตอบสนองที่เหมาะสมได้ชัดและถูกยอมรับอย่างดี ตัวอย่างเช่น เงื่อนไขการตอบสนองเหมาะสมสำหรับการสูญเสียประโยชน์จากการการคิดคำนวณเป็นการพัฒนาแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สำหรับความเสี่ยงอื่น ๆ เงื่อนไขที่มีอยู่อาจไม่ปรากฏให้เห็นนั้น ต้องการกิจกรรมที่มีการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนมากขึ้น ตัวอย่างเงื่อนไขการตอบสนองที่สัมพันธ์กับการบรรเทาผลกระทบของกิจกรรมของคู่แข่งในเรื่องค่านิยมของตราสินค้า อาจต้องการการวิจัยทางการตลาดและการวิเคราะห์

เมื่อรู้แล้วว่าการตอบสนองความเสี่ยงนั้นมีกี่ประเภท แล้วเราจะมีแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์ในการจัดการกับความเสี่ยงได้อย่างไร ก็คงต้องติดตามกันในครั้งต่อไปนะครับ


เว็บใหม่ itgthailand.com

กรกฎาคม 21, 2009

เนื่องจาก ผมได้ปรับเปลี่ยนระบบของการเขียนเว็บบล็อก ด้วยการจดทะเบียนเป็นชื่อ itgthailand.com เพื่อให้มีศักยภาพ มีประสิทธิภาพ และมีความสเถียรมากขึ้น

ทุกท่านที่ติดตามเนื้อหา สาระ ข้อมูลความรู้ในหัวข้อต่าง ๆ ของ http://www.itgthailand.wordpress.com แห่งนี้ สามารถเข้าชมและติดตามเนื้อหาตอนต่อ ๆ ไปได้ใน http://www.itgthailand.com หรือคลิก link http://www.itgthailand.com ตั้งแต่วันนี้ (8 กรกฎาคม 2552) เป็นต้นไปครับ


แนวทาง/กรอบการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร

กรกฎาคม 20, 2009

เมื่อท่านผู้บริหาร และท่านผู้อ่านทั้งหลาย ได้ทราบถึงแนวคิดความน่าจะเกิด (Likelihood) และผลกระทบ (Impact) ที่จะเกิดขึ้นของปัจจัยหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อความไม่สำเร็จขององค์กร เพื่อจะนำมาประเมินค่าความเสี่ยงและโอกาสที่จะเกิดขึ้น รวมถึงการพิจารณาความเสี่ยงที่มีอยู่และความเสี่ยงส่วนที่เหลือ โดยการใช้ข้อมูลที่สังเกตได้ วิธีการและเทคนิคเชิงปริมาณและคุณภาพไปแล้วนั้น วันนี้ผมจะพาท่านไปสู่ขั้นตอนของการประเมินความเสี่ยงกันครับ

ขั้นตอนการประเมินความเสี่ยง

ขั้นตอนการประเมินความเสี่ยง

ขั้นตอนการประเมินความเสี่ยง

จากความเสี่ยงที่ได้ระบุไว้ข้างต้น จะนำรายการความเสี่ยงทั้งหมดมาพิจารณาเพื่อประเมินระดับความเสี่ยง

1. การประเมินระดับความเสี่ยง (Risk Score)
1.1. การประเมินความเป็นไปได้ (Likelihood)
การประเมินความเป็นไปได้ พิจารณาได้ในรูปแบบของความถี่ (Frequency) หรือโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้

การประเมินค่าความเป็นไปได้

การประเมินค่าความเป็นไปได้

1.2. การประเมินผลกระทบ (Impact)
การประเมินผลกระทบของความเสี่ยง ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงินที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้
ผลกระทบด้านการเงิน เป็นผลกระทบหรือความเสียหายที่เกิดจากความเสี่ยง และสามารถประเมินค่าเป็นตัวเงินได้ ได้แก่
– ผลกระทบจากค่าความเสียหายในด้านต่าง ๆ ต่อทรัพย์สิน
– ผลกระทบจากการลงทุน/การร่วมลงทุน
– ผลกระทบค่าใช้จ่ายการลงทุนหรือการบรรลุวัตถุประสงค์ในระดับต่าง ๆ
– ผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ

ผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจหรือการบรรลุพันธกิจและวิสัยทัศน์ขององค์กร เป็นผลกระทบที่มีความเสียหายกับการดำเนินงานขององค์กรในภาพโดยรวม รวมถึงความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ (ถ้ามี)

อย่างไรก็ดี ผลกระทบตามหัวข้อนี้ โดยทั่วไปจะมีผลต่อระบบการดำเนินงานต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจขององค์กร ได้แก่
– ผลกระทบจากปัจจัยภายนอก นโยบายรัฐบาล และกฎหมาย
– ผลกระทบจากการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการ

ผลกระทบด้านชื่อเสียงขององค์กร เป็นความเสียหายต่อชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นผลจากการดำเนินงานทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่ส่งผลต่อภาพพจน์และความเชื่อถือขององค์กรหรือขององค์กร

การประเมินระดับความเสี่ยง ซึ่งจะแบ่งระดับของความเสี่ยงออกเป็น 5 ระดับ และมีค่าความเสี่ยงรวมเท่ากับ 25 คะแนน (Level of Risk) โดยการนำผลที่ได้จากการประเมินความเป็นไปได้และผลกระทบ มาจัดทำแผนผังประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment Matrix) อย่างไรก็ดี ระดับการบริหารความเสี่ยงอาจจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับหรือ 3 ระดับก็ได้ ขึ้นอยู่กับการจัดกลุ่มความเสี่ยงตามที่องค์กรเห็นสมควร

Risk Assessment Matrix

Risk Assessment Matrix

จาก Risk Assessment Matrix นำรายการความเสี่ยงของแต่ละระดับความเสี่ยงที่ได้จัดเรียงลำดับไว้ (Risk Ranking) มาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับเกณฑ์ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง

เกณฑ์ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง

เกณฑ์ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง

เกณฑ์ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง

* ระดับความเสี่ยงปานกลาง การควบคุมความเสี่ยงต้องมีการติดตามผลและประเมินผลต่อความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงอย่างมีประสิทธิภาพ/ประสิทธิผล และมีผู้รับผิดชอบโดยตรง เช่น มีแผนปฏิบัติคู่มือปฏิบัติงาน มีการมอบหมายที่ชัดเจน ฯ

2. ความสำคัญของการควบคุมในปัจจุบัน
ในการจัดการความเสี่ยง ผู้รับผิดชอบต้องมีการรวบรวม ประมวลข้อมูล และศึกษาระบบการควบคุมภายใน หรือการบริหารจัดการที่ได้มีการปฏิบัติจริงในปัจจุบัน (ระดับการควบคุม) เพื่อให้การดำเนินงานในขั้นต่อไปเกิดประสิทธิภาพ

การควบคุม พิจารณาได้จาก
– หน้าที่ความรับผิดชอบของคณะกรรมการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
– แผนงาน/โครงการ
– แผนปฏิบัติงานประจำ
– งานของคณะกรรมการบริหารของ องค์กร หรือคณะทำงานภายในหน่วยงาน
– ฯลฯ

การพิจารณาการควบคุมมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การจัดการความเสี่ยง และการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในขั้นตอนต่อไปไม่เกิดความซ้ำซ้อน และสร้างมูลค่าเพิ่มในการบรรลุพันธกิจก้าวสู่วิสัยทัศน์ขององค์กร ซึ่งสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำรายละเอียดแผนบริหารความเสี่ยงขององค์กรได้ดี

องค์ประกอบสำคัญของการประเมินความเสี่ยง

องค์ประกอบสำคัญของการประเมินความเสี่ยง


แนวทาง/กรอบการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร

กรกฎาคม 15, 2009

สวัสดีครับ เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับแนวทางการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร ที่ตอนนี้ผมได้นำเสนอกระบวนการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน ตามหลัก COSO – ERM ซึ่งกระบวนการทั้ง 8 ขั้นตอนนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญหลักในการบริหารความเสี่ยงเลยก็ว่าได้ และที่กำลังนำเสนออยู่นี้ก็เข้าสู่กระบวนการในขั้นตอนที่ 4 คือ การประเมินความเสี่ยง ที่ได้เล่าสู่กันฟังไปบ้างแล้ว วันนี้ผมมีวิธีการและเทคนิคดี ๆ ในการประเมินความเสี่ยงในเชิงปริมาณและคุณภาพมาเล่าสู่กันฟังต่อจากครั้งที่แล้วครับ

วิธีการและเทคนิคเชิงปริมาณและคุณภาพ
วิธีการประเมินค่าความเสี่ยงขององค์กรประกอบด้วยการรวมตัวกันของเทคนิคเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ผู้บริหารมักใช้เทคนิคการประเมินเชิงคุณภาพในกรณีที่ความเสี่ยงไม่สามารถใช้กระบวนการเชิงปริมาณได้ หรือเมื่อไม่สามารถหาข้อมูลที่เพียงพอและน่าเชื่อถือสำหรับการประเมินค่าเชิงคุณภาพได้ หรือข้อมูลที่ได้มาหรือนำมาวิเคราะห์ไม่คุ้มค่า เทคนิคเชิงปริมาณนำมาซึ่งความถูกต้องแม่นยำมากกว่า และใช้ในกิจกรรมที่ซับซ้อนกว่าเพื่อเพิ่มเติมเทคนิคเชิงคุณภาพ

เพื่อให้ได้รับความเห็นชอบในความน่าจะเกิดและผลกระทบของการใช้เทคนิคการประเมินค่าเชิงคุณภาพ องค์กรอาจใช้วิธีการเดียวกันกับการแยกแยะเหตุการณ์ ดังเช่น การสัมภาษณ์และการประชุมเชิงปฏิบัติการ กระบวนการประเมินค่าความเสี่ยงด้วยตนเอง จับภาพผู้เข้าร่วมประชุมจากความน่าจะเกิดและผลของเหตุการณ์ในอนาคตโดยใช้ทั้งเครื่องวัดเชิงตัวเลขและการพรรณนา

ความจำเป็นขององค์กรในการใช้เทคนิคการประเมินค่าที่ไม่ธรรมดากับหน่วยธุรกิจต่าง ๆ หรือ ทางเลือกของเทคนิคจะสะท้อนความต้องการความถูกต้องแม่นยำ และวัฒนธรรมของหน่วยธุรกิจ อย่างไรก็ตามวิธีการที่แต่ละธุรกิจนำไปใช้จะช่วยในการประเมินความเสี่ยงในระหว่างองค์กร

ผู้บริหารสามารถสืบค้นมาตรวัดผลกระทบเชิงคุณภาพองค์กรของเหตุการณ์ต่อเมื่อการประเมินความเสี่ยงของเหตุการณ์ได้แสดงออกในเชิงปริมาณ ตัวอย่างเช่น ผลกระทบของผลกำไรสุทธิของการเปลี่ยนแปลงราคาถูกคำนวณระหว่างหน่วยธุรกิจ และกำหนดผลกระทบขององค์กรโดยรวม

การผสมระหว่างการวัดเชิงปริมาณและคุณภาพนั้นผู้บริหารได้พัฒนาการประเมินค่าเชิงคุณภาพในระหว่างการวัดผลทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณด้วยผลลัพธ์ ซึ่งประกอบด้วยการประเมินค่าที่อธิบายได้ในเชิงคุณภาพ การสร้างคำศัพท์ของความน่าจะเกิดและผลลัพธ์ขององค์กรและกลุ่มของความเสี่ยงที่ใช้สำหรับการวัดเชิงคุณภาพช่วยอำนวยความสะดวกให้ส่วนประกอบของการประเมินค่าความเสี่ยงต่าง ๆ เหล่านั้น

ความสัมพันธ์กันของเหตุการณ์
ผู้บริหาร องค์กร อาจประเมินว่าเหตุการณ์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ลำดับเหตุการณ์ได้รวมกันและสร้าง Likelihood หรือผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญที่ใด ในขณะที่ผลของเหตุการณ์เดียวอาจเบาบาง ลำดับเหตุการณ์อาจมีผลกระทบที่สำคัญมากกว่า อาจใช้การทดสอบที่หนักหน่วงในการประเมินค่าผลกระทบของเหตุการณ์สุดท้ายและใช้การวิเคราะห์ภาพเหตุการณ์ในการประเมินค่าผลกระทบของเหตุการณ์จำนวนมาก หากว่าเหตุการณ์ไม่มีความสัมพันธ์กันโดยตรง

ผู้บริหารต้องประเมินค่าเหตุการณ์แยกกัน ยกตัวอย่าง บริษัทที่มีธุรกิจต่างกัน มีการผันผวนของราคาที่แตกต่างกัน จะประเมินความเสี่ยงซึ่งสัมพันธ์กับตลาดแยกจากกัน ดังเช่น ราคาของเนื้อและราคาพลังงาน ในการประเมินค่าเช่นนี้อาจถูกนำเสนอในรูปกราฟแสดงอัตราความเป็นไปได้และผลกระทบหรือเสนอในรูปแบบอื่น ๆ

ความเสี่ยงซึ่งเกิดขึ้นเหมือน ๆ กันในธุรกิจจำนวนมาก ผู้บริหารอาจประเมินค่าและแยกแยะกลุ่มเหตุการณ์เอาไว้ในกลุ่มเหตุการณ์ทั่วไป ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยของรัฐบาลซึ่งมีผลกระทบกับหน่วยธุรกิจของบริษัทที่ให้บริการด้านการเงิน

ความสัมพันธ์กันระหว่างความเสี่ยงและผลกระทบเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญของผู้บริหาร การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพต้องการการประเมินค่าความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงธรรมชาติและความเสี่ยงที่ตามมาจากการตอบสนองความเสี่ยง

การประเมินความเสี่ยงจะต้องพิจารณาว่าเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้น เหตุการณ์ไหนมีผลกระทบต่อการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์กร โดยฝ่ายบริหารประเมินและวิเคราะห์ความเสี่ยงโดยพิจารณาจาก

1. ความน่าจะเกิด (Likelihood) คือโอกาสความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์ที่ความเสี่ยงนั้นจะเกิดหรือความถี่ที่เหตุการณ์จะเกิด
2. ส่วนผลกระทบ (Impact) หมายถึง ความเสียหายที่จะเกิดจากเหตุการณ์ความเสี่ยงนั้น ความน่าจะเกิดบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น สามารถวัดเป็นมูลค่าที่คาดหวังหรือมูลค่าที่เลวร้ายที่สุด หรืออาจแสดงเป็นปริมาณ เช่น สูง (High) กลาง (Medium) และต่ำ (Low) หรือการวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ ความถี่ที่จะเกิด เป็นต้น

การประเมินความเสี่ยงเป็นเรื่องที่ยากและท้าทาย ฝ่ายจัดการต้องตระหนักว่าความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นต่ำและมีผลกระทบต่อองค์กรต่ำไม่ต้องนำมาพิจารณา ในทางตรงกันข้ามหากความเสี่ยงที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสูงและมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อองค์กร ฝ่ายจัดการต้องนำมาพิจารณาและให้ความสนใจ

การประเมินความเสี่ยง ฝ่ายจัดการต้องพิจารณาผลกระทบทั้งเหตุการณ์ที่คาดไว้และเหตุการณ์ที่ไม่คาดไว้ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ส่วนใหญ่เหตุการณ์ต่าง ๆ มักเป็นเหตุการณ์ประจำและเกิดขึ้นอีกครั้งและเหตุการณ์ดังกล่าวถูกนำมาอยู่ในโปรแกรมการบริหารจัดการแล้ว

ส่วนเหตุการณ์ที่ไม่คาดไว้ แม้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดต่ำแต่มีผลกระทบที่เป็นนัยสำคัญ เหตุการณ์ดังกล่าวจะถูกตอบสนองเป็นแต่ละเหตุการณ์ไป ทั้งเหตุการณ์ที่คาดไว้และเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดไว้ล้วนมีผลกระทบต่อการดำเนินกลยุทธ์และมีผลต่อการบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์กร

การประเมินความเสี่ยงถูกนำมาใช้กับความเสี่ยงพื้นฐานขององค์กรหรือความเสี่ยงจากลักษณะธุรกิจ (Inherent risk) เมื่อการตอบสนองความเสี่ยงถูกพัฒนาขึ้น ฝ่ายจัดการจะใช้เทคนิคการประเมินความเสี่ยงในการจัดการกับความเสี่ยงที่เหลืออยู่ (Residual Risk)


แนวทาง/กรอบการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร

กรกฎาคม 13, 2009

จากการที่ผมได้เล่าถึงกระบวนการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน ตามหลัก COSO – ERM มาหลายขั้นตอน มาถึงตอนนี้จะเป็นกระบวนการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน ขั้นตอนที่ 4 นั่นก็คือ การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) การประเมินค่าความเสี่ยงขององค์กรทั่วไป เปิดโอกาสให้องค์กรและผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณาขอบเขตซึ่งเหตุการณ์แฝง อาจส่งผลต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ พันธกิจ มุ่งสู่วิสัยทัศน์ขององค์กร ผู้บริหารควรประเมินค่าเหตุการณ์จาก 2 แนวคิด คือ ความน่าจะเกิด (Likelihood) และผลกระทบ (Impact) ที่จะเกิดขึ้น

ผมมีคำอธิบายเพื่อการประเมินค่าความเสี่ยงที่นำไปสู่การปฏิบัติ เมื่อปัจจัยภายในและภายนอกส่งผลต่อเหตุการณ์แฝง และบางเหตุการณ์ก็ส่งผลต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร แม้ว่าปัจจัยบางอย่างจะเป็นสิ่งปกติในการร่วมอยู่ในอุตสาหกรรม ปัจจัยจำนวนมากมีความเป็นเอกลักษณ์ในองค์กรใดองค์กรหนึ่งโดยเฉพาะ สาเหตุเนื่องจากเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดวัตถุประสงค์และตัวเลือกในอดีต

ในการประเมินค่าความเสี่ยงผู้บริหารได้พิจารณาการผสมผสานของเหตุการณ์แฝงในอนาคตที่สัมพันธ์กับองค์กรและกิจกรรมของเหตุการณ์ สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งการตรวจสอบปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงขนาดองค์กร ความซับซ้อนของการปฏิบัติงานและระดับของกฎระเบียบที่ครอบคลุมกิจกรรม เป็นต้น ซึ่งได้ก่อร่างรูปแบบของความเสี่ยงขององค์กรและมีอิทธิพลต่อวิธีการซึ่งใช้ในการประเมินค่าความเสี่ยง

โดยมีหลักการย่อ ๆ ว่า เมื่อเจ้าภาพหรือเจ้าของแผนงานสามารถระบุหรือบ่งชี้ความเสี่ยงตามข้อ 2 ได้แล้วให้ประเมินต่อไปว่า เหตุการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อความสำเร็จของแต่ละกิจกรรมในแต่ละขั้นตอนของแผนงานนั้น ๆ จะสามารถจัดการหรือแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงเพื่อผลักดันกิจกรรมขั้นตอนต่อ ๆ ไปให้ประสบความสำเร็จของแผนงานนั้นตามกรอบเวลาได้หรือไม่

ทั้งนี้ เจ้าของแผนงานจะต้องประเมินว่า ปัจจัยหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจมีผลกระทบ (Impact) ต่อความไม่สำเร็จนั้น มีมากน้อยเพียงใด และมีโอกาสที่จะเกิดขึ้น (Likelihood) บ่อยเพียงใด ทั้งนี้เพื่อไปจัดลำดับความรุนแรงของความเสี่ยงที่จะมีผลต่อแผนงานและโครงการนั้น ๆ

ความเสี่ยงที่มีอยู่ (Inherent) และความเสี่ยงส่วนที่เหลือ (Residual Risk)
ผู้บริหาร องค์กร ต้องพิจารณาความเสี่ยงที่มีอยู่และความเสี่ยงส่วนที่เหลือ ความเสี่ยงที่มีอยู่เป็นความเสี่ยงขององค์กรที่ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้นของผู้บริหาร เพื่อเปลี่ยนแปลงผลกระทบและโอกาสเกิดของความเสี่ยง ความเสี่ยงส่วนที่เหลือคือความเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่หลังจากผู้บริหารได้ตอบสนองต่อความเสี่ยงแล้ว

ในการประเมินค่าความเสี่ยง ผู้บริหารจะพิจารณาผลกระทบของเหตุการณ์แฝงที่คาดหวังและไม่ได้คาดหวัง หลาย ๆ เหตุการณ์เกิดเป็นประจำ และเกิดขึ้นอีกบ่อย ๆ และได้ถูกวางไว้ในโปรแกรมการบริหารและงบประมาณด้านปฏิบัติการ หลาย ๆ เหตุการณ์ไม่ได้ถูกคาดหวังไว้ และบ่อยครั้งมีความน่าจะเกิดต่ำ แต่อาจมีผลกระทบแฝงที่สำคัญ เหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดไว้อาจถูกตอบสนองแยกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนยังคงอยู่กับทั้งเหตุการณ์แฝงที่คาดไว้และไม่ได้คาดไว้ และแต่ละเหตุการณ์ได้ส่งผลต่อการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติและการบรรลุวัตถุประสงค์ ผลก็คือผู้บริหารต้องประเมินค่าความเสี่ยงของเหตุการณ์แฝงทั้งหมด ซึ่งเหมือนกันในแง่มีผลกระทบสำคัญต่อองค์กร การประเมินค่าความเสี่ยงได้ถูกประยุกต์ไปสู่ความเสี่ยงที่มีอยู่ ทันทีที่การตอบสนองความเสี่ยงได้ถูกพิจารณา ดังนั้น ผู้บริหารได้ใช้เทคนิคการประเมินค่าความเสี่ยงในการกำหนดความเสี่ยงส่วนที่เหลือ

การประมาณค่าความน่าจะเกิด ( Likelihood) และผลกระทบ (Impact)
ความไม่แน่นอนของเหตุการณ์แฝงถูกประเมินจาก 2 แนวคิด คือความน่าจะเกิด (Likelihood) และผลกระทบ (Impact) ความน่าจะเกิด เปรียบเสมือนความเป็นไปได้ซึ่งเหตุการณ์จะเกิดขึ้น ในขณะที่ผลกระทบเปรียบเสมือนผลที่เกิดขึ้น

ความน่าจะเกิดและผลกระทบเป็นคำศัพท์ที่ใช้กันโดยทั่วไปแม้ว่าบางองค์กรจะใช้คำว่าความเป็นไปได้และความเข้มงวดหรือผลที่เกิดขึ้นก็ตาม บางครั้งคำศัพท์อาจมีความหมายเฉพาะ “ความน่าจะเกิด” แสดงถึงความเป็นไปได้ซึ่งจะทำให้เกิดเหตุการณ์ในเชิงคุณภาพ เช่น สูง กลาง และต่ำ หรือมาตรวัดอื่น ๆ ที่เที่ยงตรง ในขณะที่ความเป็นไปได้อาจถูกใช้ในการอธิบายการวัดเชิงปริมาณ เช่น เปอร์เซ็นต์ ความถี่ของเหตุการณ์ หรือมาตรวัดที่เป็นตัวเลข

ผู้บริหารอาจเลือกอธิบายความน่าจะเกิดและผลกระทบในลักษณะต่าง ๆ เช่น การประมาณค่า หรือขอบเขตหรือการกระจาย ซึ่งอาจอธิบายการแยกแยะหรือการประเมินค่าความเสี่ยงเป็นคำพูดหรือใส่ลงในกราฟ ตัวอย่างหนึ่งคือการทำแผนผังความเสี่ยง ซึ่งเป็นการวาดให้เห็นภาพโดยการแบ่งกลุ่มเหตุการณ์ วัตถุประสงค์องค์กร หรือกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยรายงานความเสี่ยงในหลาย ๆ ระดับ รวมถึงระดับองค์กร ระดับธุรกิจ ระดับหน่วยงานหรือระดับกระบวนการ

การกำหนดปริมาณความตั้งใจในการประเมินค่าลำดับของความเสี่ยงที่องค์กรต้องเผชิญนั้นมีความยากและท้าทาย ผู้บริหารต้องระลึกไว้ว่าความเสี่ยงที่มีความน่าจะเกิดของเหตุการณ์ที่จะเกิดต่ำและมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย ไม่สามารถรับประกันการพิจารณาอื่น ๆ ได้ ในทางตรงข้ามความเสี่ยงที่มีความน่าจะเกิดของการเกิดเหตุการณ์สูงและมีผลกระทบสำคัญที่ต้องการการพิจารณาอย่างตั้งใจ เหตุการณ์ทั้งสองประเภทต้องการการตัดสินที่ยากเย็น สิ่งสำคัญคือการวิเคราะห์ต้องมีเหตุมีผลและระมัดระวัง

เนื่องจากความเสี่ยงถูกประเมินในส่วนของกลยุทธ์องค์กรและวัตถุประสงค์องค์กร ผู้บริหารจะเฝ้ามุ่งเน้นดูความเสี่ยงด้วยช่วงระยะเวลาสั้นไปจนถึงกลาง อย่างไรก็ตามองค์ประกอบบางอย่างของทิศทางกลยุทธ์และวัตถุประสงค์ได้ขยายตัวเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานขึ้น ผลก็คือผู้บริหารต้องมีความรู้ความเข้าใจในกรอบเวลาที่ยาวนาน และไม่เพิกเฉยต่อความเสี่ยงที่อาจหมดไป
ผู้บริหารมักใช้การวัดผลงานในการกำหนดขอบเขตที่ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์และใช้หน่วยเดียวกันวัดว่าเมื่อไรจะพิจารณาผลกระทบแฝงของความเสี่ยงในการบรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะ ตัวอย่างเช่น

องค์กรซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการรักษาระดับของการบริการลูกค้าจะถูกให้คะแนนหรือการวัดแบบอื่น ๆ สำหรับวัตถุประสงค์นั้น ดังเช่น ดัชนีความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้อง จำนวนการร้องเรียน เมื่อการประเมินค่าผลกระทบของความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการบริการ ดังเช่น ความเป็นไปได้ที่เว็บไซต์อาจใช้ไม่ได้ในช่วงเวลานั้น ผลกระทบเป็นตัวกำหนดที่ดีที่สุดในการใช้

การใช้ข้อมูลที่สังเกตได้
การประมาณค่าความน่าจะเกิดและความถี่ของผลกระทบถูกกำหนดให้ใช้ข้อมูลจากเหตุการณ์ที่สังเกตได้ที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งอาจทำให้เกิดวัตถุประสงค์ได้มากกว่าการประมาณโดยการนึกคิด การสร้างข้อมูลที่เกิดจากประสบการณ์ในองค์กรของตนเองอาจสะท้อนความมีอคติของบุคคลได้น้อยกว่าและทำให้เกิดผลลัพธ์ได้ดีกว่าข้อมูลจากแหล่งภายนอก

อย่างไรก็ตามแม้ว่าข้อมูลที่สร้างจากภายในเป็นข้อมูลนำเข้าเบื้องต้น ข้อมูลจากภายนอกสามารถใช้ประโยชน์ในการเป็นที่ตรวจสอบหรือเพื่อช่วยส่งเสริมการวิเคราะห์ ข้อควรระวังเมื่อใช้เหตุการณ์ในอดีตคาดเดาอนาคตนั้นคือ อิทธิพลของปัจจัยอาจทำให้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา

สำหรับการประเมินความเสี่ยงนี้ ยังมีวิธีการและเทคนิคเชิงปริมาณและคุณภาพ รวมถึงขั้นตอนการประเมินความเสี่ยงที่เป็นขั้นตอนสำคัญที่ควรต้องติดตามต่อไปในโอกาสหน้านะครับ


แนวทาง/กรอบการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร

กรกฎาคม 8, 2009

ช่วงนี้อากาศเย็นเพราะฝนตกบ่อย ผมอยู่นอกบ้านอากาศเย็นถึงกับหนาว ๆ อยู่บ้าง พอกลับเข้ามาในบ้านก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาหน่อย หลายท่านก็ต้องระวังจะไม่สบายตามฝนฟ้าอากาศด้วยนะครับ สำหรับวันนี้ผมจะมาเล่าต่อถึงการจัดกลุ่มของเหตุการณ์จากที่ได้ทิ้งท้ายเอาไว้ในครั้งก่อน

การจัดกลุ่มเหตุการณ์
การจัดเหตุการณ์แฝงให้เป็นกลุ่มอาจเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ การรวบรวมเหตุการณ์ระหว่างองค์กรและภายในส่วนงานต่าง ๆ ขององค์กรนั้น ผู้บริหารจะพัฒนาความเข้าใจของความสัมพันธ์กันระหว่างเหตุการณ์ได้รับข้อมูลเพิ่มขึ้น เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการประเมินค่าความเสี่ยงในการจัดกลุ่มเหตุการณ์แฝงที่เหมือนกัน ผู้บริหารจะสามารถกำหนดโอกาสและความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น
การแบ่งกลุ่มเหตุการณ์ทำให้ผู้บริหารได้พิจารณาถึงความสมบูรณ์ของความพยายามที่จะแยกแยะเหตุการณ์ จากการตรวจสอบเหตุการณ์แฝงในกลุ่มนี้ ผู้บริหารสามารถวัดได้ว่ามีการแยกแยะความสำคัญของเหตุการณ์แฝงซึ่งสัมพันธ์กับการผิดพลาดของกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้หรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้น การจัดกลุ่มเหตุการณ์สามารถเสริมภาพเหตุการณ์ ประวัติขององค์กรต่าง ๆ บางองค์กรได้พัฒนาการแบ่งกลุ่มเหตุการณ์บนพื้นฐานของการจัดกลุ่มของวัตถุประสงค์การใช้ระดับขั้น ซึ่งเริ่มต้นด้วยวัตถุประสงค์ระดับสูงและลดหลั่นลงมาสู่วัตถุประสงค์ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน่วยงานขององค์กร หรือการดำเนินธุรกิจ

ผู้บริหารต้องตระหนักว่ายังมีเหตุการณ์ที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไร เมื่อไร หรือส่งผลอย่างไร การกำหนดเหตุการณ์นี้คือผู้บริหารต้องพิจารณาปัจจัยทั้งภายนอกภายในที่มีผลทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

ปัจจัยภายนอก รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจ ธุรกิจ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ การเมือง สังคมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ปัจจัยภายใน เช่นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (Infrastructure) บุคลากร กระบวนการทำงาน หรือเทคโนโลยี

เหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นมีผลกระทบได้ทั้งแง่บวกและแง่ลบ เหตุการณ์ที่มีผลกระทบในแง่บวกแสดงถึงโอกาส โอกาสสามารถนำไปกำหนดกลยุทธ์หรือกระบวนการในการกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์กร เหตุการณ์ที่มีผลกระทบในแง่ลบแสดงถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ซึ่งฝ่ายจัดการต้องทำการประเมินและตอบสนองกับเหตุการณ์นั้น ความเสี่ยงที่ถูกกำหนดนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์กร

ตัวอย่างเหตุการณ์เสี่ยงจากปัจจัยภายนอก เช่น
– ภาวะการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
– ลูกค้าเปลี่ยนทัศนคติหรือความพึงพอใจต่อสินค้าหรือบริการ
– ภาวะการแข่งขันทางการตลาดทั้งสินค้าและบริการ
– กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
– สภาวะทางเศรษฐกิจ การค้า ความร่วมมือระหว่างประเทศ และสภาวะแวดล้อมภายนอกอื่น

การระบุปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อองค์กร

การระบุปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อองค์กร

ตัวอย่างเหตุการณ์เสี่ยงจากปัจจัยภายในและระบบงาน เช่น
– ศักยภาพของบุคลากร กระบวนการบริหาร โครงสร้าง และการบริหารแผนงานขององค์กร
– ปริมาณและความซับซ้อนของรายการค้า การบริการ ผู้มีผลประโยชน์ร่วม และสาขางานที่เกี่ยวข้อง
– คุณภาพหรือปัญหาข้อขัดข้องของกิจกรรมประมวลผลและระบบสารสนเทศ เพื่อการรายงาน เพื่อการบริหาร
– คุณภาพและความสามารถของพนักงาน ความขัดแย้งชิงดีชิงเด่นภายในองค์กร และนโยบายเกี่ยวกับการบริหารบุคลากรขององค์กร
– คุณภาพและการเปลี่ยนแปลง ฝ่ายบริหาร วิธีการบริหาร ระบบและวิธีการปฏิบัติงาน
– การคัดเลือกคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบที่ไม่เหมาะสม ทำให้ได้ผู้ที่ไม่มีคุณภาพมากำกับดูแลงาน
– ความเพียงพอและประสิทธิผลการควบคุม

องค์ประกอบความรู้ที่ใช้ในการวิเคราะห์ระบบงาน

องค์ประกอบความรู้ที่ใช้ในการวิเคราะห์ระบบงาน

วิธีการจำแนกเหตุการณ์จากพื้นฐานของปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายใน พิจารณาจาก
โครงสร้างพื้นฐาน
– สินทรัพย์ที่มีอยู่
– ความสามารถของสินทรัพย์
– การเข้าถึงทุน
– ความซับซ้อน
– การรวมกัน/การหามาได้

บุคลากร
– ความสามารถของพนักงาน
– สุขภาพและความปลอดภัย
– การตัดสินคุณค่า
– การปฏิบัติที่ปลอดภัย
– การดำเนินการขาย

กระบวนการ
– ความสามารถ
– การออกแบบ
– การดำเนินการ
– ผู้ขาย/การพึ่งพา

เทคโนโลยี
– ข้อมูล
– ข้อมูลและการได้มาซึ่งระบบ
– ความสามารถ
– ระบบ

ปัจจัยภายนอก พิจารณาจาก
เศรษฐกิจ
– การหาทุน
– เครดิต
– การลื่นไหลของตลาด การหาทุน กระแสเงินสด
– ตลาด ราคาตลาด อัตราดอกเบี้ย การว่างงาน อัตราแลกเปลี่ยน

ธุรกิจ
– ยี่ห้อ/ชื่อสินค้า
– การแข่งขัน
– พฤติกรรมผู้บริโภค
– คู่แข่ง
– ความลำเอียง
– มาตรฐานอุตสาหกรรม
– โครงสร้างความเป็นเจ้าของ
– สาธารณะ
– ความเกี่ยวข้องของผลิตภัณฑ์

เทคนิค
– การค้าอิเล็กทรอนิคส์
– ข้อมูลภายนอก
– การกระจายเทคโนโลยี

สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
– พลังงาน
– ภัยธรรมชาติ
– การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
– การขนส่ง
– น้ำ
– ไฟ

การเมือง
– การเปลี่ยนรัฐบาล
– กฎหมาย
– นโยบายสาธารณะ
– กฎระเบียบ

สังคม
– ความเป็นประชากรขององค์กร
– ความเป็นส่วนตัว

ความเสี่ยงที่เด่นชัดและโอกาส
เหตุการณ์อาจทำให้เกิดผลทางด้านลบ ทางด้านบวก หรือทั้งสองด้าน เหตุการณ์ซึ่งส่งผลทางด้านลบเป็นเสมือนความเสี่ยง ซึ่งต้องการการประเมินค่าและตอบสนองจากผู้บริหาร ดังนั้น ความเสี่ยงคือความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นและส่งผลอย่างเป็นปฏิปักษ์ต่อความสำเร็จของวัตถุประสงค์

ส่วนเหตุการณ์ซึ่งส่งผลทางบวกเป็นเสมือนโอกาสหรือการโต้ตอบผลลบของความเสี่ยง เหตุการณ์ที่เป็นเสมือนโอกาสจะถูกส่งกลับไปสู่กลยุทธ์ของผู้บริหารหรือในขั้นตอนการตั้งวัตถุประสงค์ เพื่อให้การกระทำสามารถก่อตัวเพื่อครอบงำโอกาส เหตุการณ์ที่โต้ตอบผลลบของความเสี่ยงจะถูกพิจารณา ในการประเมินค่าความเสี่ยงและการตอบสนองของผู้บริหาร

องค์ประกอบสำคัญของการระบุเหตุการณ์

องค์ประกอบสำคัญของการระบุเหตุการณ์

ครั้งหน้าผมจะกล่าวถึงกระบวนการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน ตามหลัก COSO – ERM ในกระบวนการขั้นถัดไปคือ การประเมินความเสี่ยง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผู้บริหารองค์กรทั้งหลายไม่ควรพลาดครับ


แนวทาง/กรอบการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร

กรกฎาคม 8, 2009

ช่วงนี้อากาศเย็นเพราะฝนตกบ่อย ผมอยู่นอกบ้านอากาศเย็นถึงกับหนาว ๆ อยู่บ้าง พอกลับเข้ามาในบ้านก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาหน่อย หลายท่านก็ต้องระวังจะไม่สบายตามฝนฟ้าอากาศด้วยนะครับ สำหรับวันนี้ผมจะมาเล่าต่อถึงการจัดกลุ่มของเหตุการณ์จากที่ได้ทิ้งท้ายเอาไว้ในครั้งก่อน

การจัดกลุ่มเหตุการณ์
การจัดเหตุการณ์แฝงให้เป็นกลุ่มอาจเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ การรวบรวมเหตุการณ์ระหว่างองค์กรและภายในส่วนงานต่าง ๆ ขององค์กรนั้น ผู้บริหารจะพัฒนาความเข้าใจของความสัมพันธ์กันระหว่างเหตุการณ์ได้รับข้อมูลเพิ่มขึ้น เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการประเมินค่าความเสี่ยงในการจัดกลุ่มเหตุการณ์แฝงที่เหมือนกัน ผู้บริหารจะสามารถกำหนดโอกาสและความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น
การแบ่งกลุ่มเหตุการณ์ทำให้ผู้บริหารได้พิจารณาถึงความสมบูรณ์ของความพยายามที่จะแยกแยะเหตุการณ์ จากการตรวจสอบเหตุการณ์แฝงในกลุ่มนี้ ผู้บริหารสามารถวัดได้ว่ามีการแยกแยะความสำคัญของเหตุการณ์แฝงซึ่งสัมพันธ์กับการผิดพลาดของกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้หรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้น การจัดกลุ่มเหตุการณ์สามารถเสริมภาพเหตุการณ์ ประวัติขององค์กรต่าง ๆ บางองค์กรได้พัฒนาการแบ่งกลุ่มเหตุการณ์บนพื้นฐานของการจัดกลุ่มของวัตถุประสงค์การใช้ระดับขั้น ซึ่งเริ่มต้นด้วยวัตถุประสงค์ระดับสูงและลดหลั่นลงมาสู่วัตถุประสงค์ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน่วยงานขององค์กร หรือการดำเนินธุรกิจ

ผู้บริหารต้องตระหนักว่ายังมีเหตุการณ์ที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไร เมื่อไร หรือส่งผลอย่างไร การกำหนดเหตุการณ์นี้คือผู้บริหารต้องพิจารณาปัจจัยทั้งภายนอกภายในที่มีผลทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

ปัจจัยภายนอก รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจ ธุรกิจ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ การเมือง สังคมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ปัจจัยภายใน เช่นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (Infrastructure) บุคลากร กระบวนการทำงาน หรือเทคโนโลยี

เหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นมีผลกระทบได้ทั้งแง่บวกและแง่ลบ เหตุการณ์ที่มีผลกระทบในแง่บวกแสดงถึงโอกาส โอกาสสามารถนำไปกำหนดกลยุทธ์หรือกระบวนการในการกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์กร เหตุการณ์ที่มีผลกระทบในแง่ลบแสดงถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ซึ่งฝ่ายจัดการต้องทำการประเมินและตอบสนองกับเหตุการณ์นั้น ความเสี่ยงที่ถูกกำหนดนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์กร

ตัวอย่างเหตุการณ์เสี่ยงจากปัจจัยภายนอก เช่น
– ภาวะการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
– ลูกค้าเปลี่ยนทัศนคติหรือความพึงพอใจต่อสินค้าหรือบริการ
– ภาวะการแข่งขันทางการตลาดทั้งสินค้าและบริการ
– กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
– สภาวะทางเศรษฐกิจ การค้า ความร่วมมือระหว่างประเทศ และสภาวะแวดล้อมภายนอกอื่น

การระบุปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อองค์กร

การระบุปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อองค์กร

ตัวอย่างเหตุการณ์เสี่ยงจากปัจจัยภายในและระบบงาน เช่น
– ศักยภาพของบุคลากร กระบวนการบริหาร โครงสร้าง และการบริหารแผนงานขององค์กร
– ปริมาณและความซับซ้อนของรายการค้า การบริการ ผู้มีผลประโยชน์ร่วม และสาขางานที่เกี่ยวข้อง
– คุณภาพหรือปัญหาข้อขัดข้องของกิจกรรมประมวลผลและระบบสารสนเทศ เพื่อการรายงาน เพื่อการบริหาร
– คุณภาพและความสามารถของพนักงาน ความขัดแย้งชิงดีชิงเด่นภายในองค์กร และนโยบายเกี่ยวกับการบริหารบุคลากรขององค์กร
– คุณภาพและการเปลี่ยนแปลง ฝ่ายบริหาร วิธีการบริหาร ระบบและวิธีการปฏิบัติงาน
– การคัดเลือกคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบที่ไม่เหมาะสม ทำให้ได้ผู้ที่ไม่มีคุณภาพมากำกับดูแลงาน
– ความเพียงพอและประสิทธิผลการควบคุม

องค์ประกอบความรู้ที่ใช้ในการวิเคราะห์ระบบงาน

องค์ประกอบความรู้ที่ใช้ในการวิเคราะห์ระบบงาน

วิธีการจำแนกเหตุการณ์จากพื้นฐานของปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายใน พิจารณาจาก
โครงสร้างพื้นฐาน
– สินทรัพย์ที่มีอยู่
– ความสามารถของสินทรัพย์
– การเข้าถึงทุน
– ความซับซ้อน
– การรวมกัน/การหามาได้

บุคลากร
– ความสามารถของพนักงาน
– สุขภาพและความปลอดภัย
– การตัดสินคุณค่า
– การปฏิบัติที่ปลอดภัย
– การดำเนินการขาย

กระบวนการ
– ความสามารถ
– การออกแบบ
– การดำเนินการ
– ผู้ขาย/การพึ่งพา

เทคโนโลยี
– ข้อมูล
– ข้อมูลและการได้มาซึ่งระบบ
– ความสามารถ
– ระบบ

ปัจจัยภายนอก พิจารณาจาก
เศรษฐกิจ
– การหาทุน
– เครดิต
– การลื่นไหลของตลาด การหาทุน กระแสเงินสด
– ตลาด ราคาตลาด อัตราดอกเบี้ย การว่างงาน อัตราแลกเปลี่ยน

ธุรกิจ
– ยี่ห้อ/ชื่อสินค้า
– การแข่งขัน
– พฤติกรรมผู้บริโภค
– คู่แข่ง
– ความลำเอียง
– มาตรฐานอุตสาหกรรม
– โครงสร้างความเป็นเจ้าของ
– สาธารณะ
– ความเกี่ยวข้องของผลิตภัณฑ์

เทคนิค
– การค้าอิเล็กทรอนิคส์
– ข้อมูลภายนอก
– การกระจายเทคโนโลยี

สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
– พลังงาน
– ภัยธรรมชาติ
– การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
– การขนส่ง
– น้ำ
– ไฟ

การเมือง
– การเปลี่ยนรัฐบาล
– กฎหมาย
– นโยบายสาธารณะ
– กฎระเบียบ

สังคม
– ความเป็นประชากรขององค์กร
– ความเป็นส่วนตัว

ความเสี่ยงที่เด่นชัดและโอกาส
เหตุการณ์อาจทำให้เกิดผลทางด้านลบ ทางด้านบวก หรือทั้งสองด้าน เหตุการณ์ซึ่งส่งผลทางด้านลบเป็นเสมือนความเสี่ยง ซึ่งต้องการการประเมินค่าและตอบสนองจากผู้บริหาร ดังนั้น ความเสี่ยงคือความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นและส่งผลอย่างเป็นปฏิปักษ์ต่อความสำเร็จของวัตถุประสงค์

ส่วนเหตุการณ์ซึ่งส่งผลทางบวกเป็นเสมือนโอกาสหรือการโต้ตอบผลลบของความเสี่ยง เหตุการณ์ที่เป็นเสมือนโอกาสจะถูกส่งกลับไปสู่กลยุทธ์ของผู้บริหารหรือในขั้นตอนการตั้งวัตถุประสงค์ เพื่อให้การกระทำสามารถก่อตัวเพื่อครอบงำโอกาส เหตุการณ์ที่โต้ตอบผลลบของความเสี่ยงจะถูกพิจารณา ในการประเมินค่าความเสี่ยงและการตอบสนองของผู้บริหาร

องค์ประกอบสำคัญของการระบุเหตุการณ์

องค์ประกอบสำคัญของการระบุเหตุการณ์

ครั้งหน้าผมจะกล่าวถึงกระบวนการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน ตามหลัก COSO – ERM ในกระบวนการขั้นถัดไปคือ การประเมินความเสี่ยง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผู้บริหารองค์กรทั้งหลายไม่ควรพลาดครับ