ก้าวสู่…การกำกับดูแลกิจการที่ดีขององค์กร (Approach to Corporate Governance)

มีนาคม 31, 2009

จากที่เราได้คุยกันในครั้งก่อน เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2552 ได้พูดถึงบทคัดย่อ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546

วันนี้เราจะได้คุยกันต่อ เพื่อสร้างความเข้าใจโดยใช้รูปภาพเป็นสื่อ และแทรกด้วยคำอธิบายบางส่วน เท่าที่พิจารณาว่าเหมาะสม ดังนี้นะครับ…

สภาพแวดล้อมของการกำกับดูแลกิจการที่ดี กับ GRC บางมุมมอง

สภาพแวดล้อมของการกำกับดูแลกิจการที่ดี กับ GRC บางมุมมอง

การกำกับดูแลกิจการที่ดีขององค์กร มีบทบาทในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางด้านการให้บริการ สร้างความไว้วางใจในด้านความโปร่งใสและการปฏิบัติที่เป็นธรรม

ความเข้าใจของคำว่า การกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) มีความเข้าใจที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก ในบรรดาผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานบางส่วน การสร้างความเชื่อมั่นในการนำองค์กร ไปสู่เป้าหมายที่กำหนดได้อย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือร่วมใจกันสร้างและจัดให้มีวิธีการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อสร้างโอกาส ศักยภาพ โดยความร่วมมือ ร่วมใจของบุคลากรทุกระดับ

การกำกับดูแลกิจการที่ดี เป็นการบริหารจัดการโดยกำหนดบทบาทและวิธีปฏิบัติงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการบริหาร การให้บริการและเพิ่มมูลค่าในทุกระดับขององค์กร ตามหลักการสากลของการกำกับดูแลกิจการที่ดีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ และสอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกา พ.ศ.2546 ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีในมิติต่าง ๆ ซึ่งจะประกอบด้วย:-

1. Responsibility
มีความเข้าใจและมีขีดความสามารถในการประพฤติปฏิบัติได้ตามหน้าที่ และความรับผิดชอบให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด

2. Accountability
แสดงความรับผิดและรับชอบต่อผลการปฏิบัติหน้าที่ถึงแม้จะไม่ได้ปฏิบัติงานนั้นด้วยตนเอง

3. Equitable Treatment
ปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม

4. Transparency
แสดงความโปร่งใสในการดำเนินงาน สามารถอธิบายและตรวจสอบได้

5. Creation of Long Term Value
แสดงกลยุทธ์และขีดความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกิจการในระยะยาว

6. Promotion of Best Practices
ส่งเสริมการปฏิบัติอันเป็นเลิศ และการมีจรรยาบรรณที่ดีในการประกอบธุรกิจ

7. Social and Environmental Awareness
มีความสำนึกที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม

ความตื่นตัวของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ได้เกิดมากขึ้นหลังจากที่ประเทศไทยได้ประสบวิกฤติการณ์เศรษฐกิจที่ผ่านมา ในปี 2539 – 2540 และกำลังเกิดวิกฤติการณ์ใหม่ ซึ่งมีระดับความเสียหายไปทั่วโลกในปัจจุบัน ผมเชื่อว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการขาดการบริหารจัดการที่ดีทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการละเลยไม่ปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง การไม่สร้างมาตรฐานให้ทัดเทียมเพื่อการแข่งขันกับคนอื่น โดยเฉพาะในเวทีของโลก จึงต้องมีการปรับปรุงการบริหารจัดการ ทั้งในภาครัฐและเอกชน พัฒนารูปแบบการดำเนินงานเพื่อสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ สามารถยกระดับมาตรฐานให้เป็นสากล เป็นที่ยอมรับ เป็นที่น่าเชื่อถือและน่าไว้วางใจต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะธุรกิจต่าง ๆ และหน่วยงานของรัฐ ต้องติดต่อและมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้น ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

ประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ซึ่งเป็นประเทศต้นแบบประเทศหนึ่งในการสร้างมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดี การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน และการตรวจสอบภายในตามฐานความเสี่ยง ในเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย รวมทั้งเรื่อง IT Governance และอื่น ๆ นั้น กับเป็นประเทศที่สร้างปัญหาทั้งเศรษฐกิจและการเงินที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงินทั่วโลกในปัจจุบัน ก็เกิดจากการละเว้นไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ประเทศของตนเป็นผู้นำในการสร้างกติกาต่าง ๆ ให้ประเทศทั่วโลกต้องปฏิบัติ

นี่คือจุดอ่อนที่สำคัญของการควบคุมภายใน ที่เกิดจาก People – Process – Technology ผสมผสานกับสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและความหย่อนยานทางจริยธรรม ซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นกับจิตสำนึกของบุคลากรที่ยากมากที่จะติดตามและตรวจสอบให้รู้ถึงรากเง้าของปัญหาที่ก่อตัวขึ้น และกว่าจะรู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมีความเสียหายอย่างอเนกอนันต์ ก็สายเกินกว่าที่จะแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น

ผลกระทบของความเสียหายจึงเกิดขึ้นในลักษณะลูกโซ่ ซึ่งเรียกว่าเป็น “Systematic Risk” ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง สรุปได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตและปัจจุบัน เกิดจากการขาดดุลยภาพของกระบวนการจัดการที่ดี ที่ไม่เป็นไปตามหลักบรรษัทภิบาล หรือ CG ที่เป็นรูปธรรม

การขาดดุลยภาพก็หมายถึง การขาดความยั่งยืนในการเจริญเติบโต ซึ่งเป็นหลักการข้อหนึ่งของ CG นอกเหนือจากหลักการอื่น ๆ ที่จะกล่าวต่อไป

การสร้างค่านิยมร่วมของประเทศและองค์กร

การสร้างค่านิยมร่วมของประเทศและองค์กร

ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐของไทยจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดีและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการนำการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาใช้ จึงได้มีการประยุกต์หลักการสากลทั้ง 7 ประการข้างต้นให้มีความเป็นรูปธรรมและเหมาะสมกับประเทศไทยมากขึ้น โดยรัฐบาลได้ออกมาเป็น พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2546 โดยสาระสำคัญประกอบด้วย

1. การเกิดประโยชน์สุขของประชาชน
2. การเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
3. มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ
4. ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น
5. มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์
6. ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวก แลได้รับการตอบสนองความต้องการ
7. มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการสม่ำเสมอ

สาระสำคัญของพระราชกฤษฎีกาฯ ข้างต้นทำให้ทางหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ให้ความสำคัญในเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดีกันมากขึ้น องค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นหน่วยงานหนึ่งที่เล็งเห็นประโยชน์และความสำคัญดังกล่าว โดยได้มีการนำเอาพระราชกฤษฎีกาฯ นั้นมาใช้ในการกำหนดออกมาเป็นกรอบของ กพร. ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นมิติต่าง ๆ 4 ด้าน

มิติทั้ง 4 ด้าน ตามกรอบของ กพร. ประกอบด้วย
มิติที่ 1 ประสิทธิผลตามพันธกิจ
1. การประเมินผลตามแผนยุทธศาสตร์ของหน่วยราชการ
2. ผลสำเร็จในการพัฒนาการปฏิบัติราชการ

มิติที่ 2 ประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ
1. คุณภาพการให้บริการ
2. การให้บริการผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์
3. การสำรวจและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และจัดให้มีคณะที่ปรึกษาภาคประชาชน

มิติที่ 3 คุณภาพการให้บริการ
1. การลดค่าใช้จ่าย
2. การลดระยะเวลาการให้บริการ
3. การนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้กับงานบางส่วน
4. การวัดต้นทุนต่อหน่วย
5. การบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประสิทธิภาพ

มิติที่ 4 การพัฒนาองค์กร
1. การลดอัตรากำลังหรือการจัดสรรอัตรากำลังให้ทำงานคุ้มค่า
2. การมอบอำนาจการตัดสินใจ การอนุมัติ อนุญาตไปยังระดับปฏิบัติการ
3. การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดระดับบุคคลให้สอดคล้องกับระดับองค์กร
4. การพัฒนาระบบการควบคุมภายใน
5. นวัตกรรม

จากหลักสากลของการกำกับดูแลที่ดีแปลงมาสู่พระราชกฤษฎีกาฯ และองค์กรต่าง ๆ ได้นำมาประยุกต์ปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม เพื่อให้สามารถวางเป็นกรอบการดำเนินงานในการกำกับดูแลองค์กรที่ดีขององค์กร เป็นหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่กำหนดขึ้น เพื่อให้คณะผู้บริหารและพนักงานขององค์กรทุกคน ใช้เป็นแนวทางในการกำกับดูแลการบริหารงานและปฏิบัติงานให้มีคุณภาพ มีความโปร่งใส และมีประสิทธิภาพในภาระหน้าที่ความรับผิดชอบในการบริหารงานทุกขั้นตอน โดยการกำหนดรูปแบบและอำนาจหน้าที่ ตลอดจนแนวปฏิบัติที่ดีของคณะกรรมการฝ่ายบริหารและพนักงาน เพื่อให้เกิดกระบวนการกำกับดูแล มีการตรวจสอบและพัฒนาการ และระบบการควบคุมภายในที่ดีเป็นมาตรฐาน โดยมีการบริหารและจัดการกับขนาดของความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ที่มีโอกาสที่จะสร้างความเสียหายให้กับองค์กร ทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมีประสิทธิผล และเหมาะสมเป็นที่ยอมรับของทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง


บทคัดย่อพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546

มีนาคม 24, 2009

ครั้งก่อนผมได้นำเสนอการพัฒนาความคิดเพื่อการกำกับและดูแลกิจการที่ดี ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้บริหารจัดการความคิดเพื่อใช้กำกับดูแลองค์กร และที่จะได้นำเสนอในครั้งนี้จะกล่าวถึงบทคัดย่อพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 (หมวด 1 มาตรา 6) เพราะสิ่งที่นำเสนอนี้ ผู้เขียนเห็นว่ามีความน่าสนใจและมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันกับ CG-Corporate Governance ที่ได้นำเสนอไว้ในหมวดหมู่ CG และองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องนี้ครับ

นี่คือแผนภาพที่แสดงถึงหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ในรูปแบบของต้นไม้ใหญ่ที่มีลำต้น ราก และ ใบ แผ่กิ่งก้านสาขา กับการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีในมิติต่าง ๆ

หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเพื่อการบรรลุผลการปฏิบัติงาน

หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเพื่อการบรรลุผลการปฏิบัติงาน

บทคัดย่อพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 (หมวด 1 มาตรา 6)

1. การเกิดประโยชน์สุขของประชาชนปฏิบัติราชการที่มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความผาสุกและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ความสงบและความปลอดภัยของสังคมส่วนรวม ตลอดจนประโยชน์สูงสุดของประเทศ (ม.7และ8)

2. การเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
– กำหนดแผนปฏิบัติราชการระยะสั้น (1 ปี) และระยะยาว (4 ปี ) มีเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของงาน ขั้นตอน ระยะเวลา งบประมาณ บุคคลที่รับผิดชอบรวมทั้งตัวชี้วัดความสำเร็จ และต้องติดตามและประเมินผล (ม.9 และ 12-18)
– มีการบริหารราชการแบบบูรณาการประสานงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ม.10)
– พัฒนาส่วนราชการให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (ม.11)

3. มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ
– กำหนดเป้าหมาย แผนการทำงาน ระยะเวลาแล้วเสร็จ งบประมาณ และเผยแพร่ให้ข้าราชการและประชาชนทราบโดยทั่วกัน (ม.20)
– จัดทำบัญชีต้นทุนในงานบริการสาธารณะ คำนวณรายจ่ายต่อหน่วยของงานถ้าสูงกว่าหน่วยงานใกล้เคียงกันต้องทำแผนลดค่าใช้จ่าย (ม.21)
– ประเมินความคุ้มค่าในการปฏิบัติภารกิจของรัฐว่าสมควรดำเนินต่อไปหรือยุบเลิกโดยคำนึงถึงประโยชน์และผลเสียทั้งในด้านตัวเงินและสังคม (ม.22)
– จัดซื้อจัดจ้างอย่างเปิดเผยและเที่ยงธรรม (ม.23)
– พิจารณาภารกิจที่เกี่ยวข้อง หรือยื่นขอ อนุญาต อนุมัติ ขอความเห็นชอบ วินิจฉัยชี้ขาดปัญหาต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว (ม.24-26)

4. ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น
– กระจายอำนาจการตัดสินใจให้แก่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง มุ่งให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการบริการประชาชน โดยมีการควบคุม ติดตาม กำกับดูแลการใช้อำนาจ และความรับผิดชอบของผู้มอบและรับมอบอำนาจ (ม.27และ28)
– ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือโทรคมนาคม เพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน เพิ่มประสิทธิภาพ และประหยัดค่าใช้จ่าย (ม.27)
– จัดทำแผนภูมิขั้นตอน รายละเอียด และระยะเวลาดำเนินการ เปิดเผย ณ ที่ทำการหรือในเครือข่ายสารสนเทศ (ม.29)
– ส่วนราชการภายในกระทรวงเดียวกันร่วมกันจัดตั้งศูนย์บริการร่วมเพื่อให้ประชาชนสามารถติดต่อสอบถาม ขอทราบข้อมูล ขออนุญาต หรือขออนุมัติเรื่องใด ๆ ให้ติดต่อได้ที่ที่เดียว (ม.30-32)

หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเพื่อการบรรลุผลการปฏิบัติงาน

หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเพื่อการบรรลุผลการปฏิบัติงาน

5. มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์
– ทบทวนภารกิจใดควรดำเนินการต่อหรือไม่โดยคำนึงถึงแผนการบริหารราชการแผ่นดิน นโยบายคณะรัฐมนตรี กำลังเงินงบประมาณ และความคุ้มค่าของภารกิจและสถานการณ์ประกอบกัน ถ้ายกเลิก ปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงภารกิจให้ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ โครงสร้าง และอัตรากำลังให้สอดคล้องกัน (ม.33)
– กรณีมีการยุบโอน เลิก รวม ส่วนราชการใดไม่ให้จัดตั้งส่วนราชการที่ลักษณะเดียวดัน หรือคล้ายคลึงอีก (ม.34)
– สำรวจ ตรวจสอบ ทบทวนกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ ให้ทันสมัยและเหมาะสมกับสถานการณ์ หรือสอดคล้องกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศโดยคำนึงถึงความสะดวกรวดเร็วและลดภาระของประชาชนเป็นสำคัญ โดยนำข้อเสนอแนะของประชาชนมาพิจารณาด้วย (ม.35-36)

6. ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวก และได้รับการตอบสนองความต้องการ
– กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงานแต่ละงานและประกาศให้ข้าราชการและประชาชนทราบ และเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาจะต้องตรวจสอบให้ข้าราชการปฏิบัติงานให้แล้วเสร็จตามกำหนด เมื่อประชาชนสอบถามต้องตอบคำถาม หรือแจ้งการดำเนินการภายใน 15 วัน หรือภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตาม ม.๓๗ (ม.37-38)
– จัดให้มีระบบเครือข่ายสารสนเทศเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนติดต่อ สอบถาม ขอข้อมูล หรือแสดงความคิดเห็น ให้สอดคล้องกับระบบเดียวกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดให้มีขึ้น (ม.39-40)
– แจ้งคำร้องเรียน เสนอแนะ ความคิดเห็นไปยังบุคคลที่รับผิดชอบถ้ามีข้อมูลและสาระตามสมควรที่เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติราชการ อุปสรรค ความยุ่งยาก หรือปัญหาจากบุคคลใด โดยห้ามเปิดเผยชื่อ/ที่อยู่ของผู้ร้องเรียน เสนอแนะ หรือแสดงความคิดเห็น (ม.41)
– ตรวจสอบกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศว่าเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อน ล่าช้าต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมโดยเร็ว (ม.42)
– การปฏิบัติราชการใดถือเป็นเรื่องเปิดเผยยกเว้นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของประเทศ เศรษฐกิจ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน และคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลให้เป็นความลับเท่าที่จำเป็น (ม.43)
– เปิดเผยข้อมูลงบประมาณรายจ่ายประจำปีเกี่ยวกับรายการจัดซื้อจัดจ้าง และสัญญาที่ได้มีการอนุมัติ ให้ประชาชนขอดูและตรวจสอบได้ ยกเว้นข้อมูลก่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบแก่บุคคลใดในการจัดซื้อจัดจ้างหรืออยู่ภายใต้กฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ เกี่ยวกับการคุ้มครองความลับทางราชการหรือความลับทางการค้า(ม.44)

7. มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการสม่ำเสมอ
– นอกจากประเมินผลแผนปฏิบัติราชการแล้วต้องจัดให้มีคณะผู้ประเมินอิสระ ดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของภารกิจ คุณภาพการให้บริการ ความพึงพอใจของประชาชนผู้รับบริการ และความคุ้มค่าในภารกิจ (ม.45)
– ประเมินภาพรวมของผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับหรือหน่วยงานในส่วนราชการ ต้องทำเป็นความลับและเพื่อประโยชน์สามัคคีของข้าราชการ (ม.46)
– ประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการเพื่อประโยชน์ในการบริหารงานบุคคล ให้คำนึงถึงผลการปฏิบัติงานของของข้าราชการในตำแหน่งที่ปฏิบัติ ประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ของหน่วยงานที่สังกัดที่ได้รับจากการปฏิบัติงานของข้าราชการผู้นั้น (ม.47)
– ส่วนราชการใดดำเนินการให้บริการที่มีคุณภาพ เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด เป็นที่พึงพอใจแก่ประชาชน ให้เสนอจัดสรรเงินเพิ่มพิเศษเป็นบำเหน็จความชอบแก่ส่วนราชการหรือนำงบประมาณเหลือจ่ายไปปรับปรุงการปฏิบัติงานหรือจัดสรรเป็นรางวัลให้แก่ราชการในสังกัด (ม.48)
– ส่วนราชการใดดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมาย สามารถเพิ่มผลงานและผลสัมฤทธิ์โดย ไม่เพิ่มค่าใช้จ่ายและคุ้มค่าต่อภารกิจ สามารถดำเนินการตามแผนลดค่าใช้จ่ายต่อหน่วยได้ เป็นที่พึงพอใจแก่ประชาชน ให้เสนอจัดสรรเงินรางวัลการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ส่วนราชการนั้น หรือนำงบประมาณเหลือจ่ายไปปรับปรุงการปฏิบัติงานหรือจัดสรรเป็นรางวัลให้แก่ข้าราชการในสังกัด (ม.49)


บทคัดย่อพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546

มีนาคม 24, 2009

ครั้งก่อนผมได้นำเสนอการพัฒนาความคิดเพื่อการกำกับและดูแลกิจการที่ดี ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้บริหารจัดการความคิดเพื่อใช้กำกับดูแลองค์กร และที่จะได้นำเสนอในครั้งนี้จะกล่าวถึงบทคัดย่อพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 (หมวด 1 มาตรา 6) เพราะสิ่งที่นำเสนอนี้ ผู้เขียนเห็นว่ามีความน่าสนใจและมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันกับ CG-Corporate Governance ที่ได้นำเสนอไว้ในหมวดหมู่ CG และองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องนี้ครับ

นี่คือแผนภาพที่แสดงถึงหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ในรูปแบบของต้นไม้ใหญ่ที่มีลำต้น ราก และ ใบ แผ่กิ่งก้านสาขา กับการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีในมิติต่าง ๆ

หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเพื่อการบรรลุผลการปฏิบัติงาน

หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเพื่อการบรรลุผลการปฏิบัติงาน

บทคัดย่อพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 (หมวด 1 มาตรา 6)

1. การเกิดประโยชน์สุขของประชาชนปฏิบัติราชการที่มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความผาสุกและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ความสงบและความปลอดภัยของสังคมส่วนรวม ตลอดจนประโยชน์สูงสุดของประเทศ (ม.7และ8)

2. การเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
– กำหนดแผนปฏิบัติราชการระยะสั้น (1 ปี) และระยะยาว (4 ปี ) มีเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของงาน ขั้นตอน ระยะเวลา งบประมาณ บุคคลที่รับผิดชอบรวมทั้งตัวชี้วัดความสำเร็จ และต้องติดตามและประเมินผล (ม.9 และ 12-18)
– มีการบริหารราชการแบบบูรณาการประสานงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ม.10)
– พัฒนาส่วนราชการให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (ม.11)

3. มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ
– กำหนดเป้าหมาย แผนการทำงาน ระยะเวลาแล้วเสร็จ งบประมาณ และเผยแพร่ให้ข้าราชการและประชาชนทราบโดยทั่วกัน (ม.20)
– จัดทำบัญชีต้นทุนในงานบริการสาธารณะ คำนวณรายจ่ายต่อหน่วยของงานถ้าสูงกว่าหน่วยงานใกล้เคียงกันต้องทำแผนลดค่าใช้จ่าย (ม.21)
– ประเมินความคุ้มค่าในการปฏิบัติภารกิจของรัฐว่าสมควรดำเนินต่อไปหรือยุบเลิกโดยคำนึงถึงประโยชน์และผลเสียทั้งในด้านตัวเงินและสังคม (ม.22)
– จัดซื้อจัดจ้างอย่างเปิดเผยและเที่ยงธรรม (ม.23)
– พิจารณาภารกิจที่เกี่ยวข้อง หรือยื่นขอ อนุญาต อนุมัติ ขอความเห็นชอบ วินิจฉัยชี้ขาดปัญหาต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว (ม.24-26)

4. ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น
– กระจายอำนาจการตัดสินใจให้แก่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง มุ่งให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการบริการประชาชน โดยมีการควบคุม ติดตาม กำกับดูแลการใช้อำนาจ และความรับผิดชอบของผู้มอบและรับมอบอำนาจ (ม.27และ28)
– ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือโทรคมนาคม เพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน เพิ่มประสิทธิภาพ และประหยัดค่าใช้จ่าย (ม.27)
– จัดทำแผนภูมิขั้นตอน รายละเอียด และระยะเวลาดำเนินการ เปิดเผย ณ ที่ทำการหรือในเครือข่ายสารสนเทศ (ม.29)
– ส่วนราชการภายในกระทรวงเดียวกันร่วมกันจัดตั้งศูนย์บริการร่วมเพื่อให้ประชาชนสามารถติดต่อสอบถาม ขอทราบข้อมูล ขออนุญาต หรือขออนุมัติเรื่องใด ๆ ให้ติดต่อได้ที่ที่เดียว (ม.30-32)

หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเพื่อการบรรลุผลการปฏิบัติงาน

หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเพื่อการบรรลุผลการปฏิบัติงาน

5. มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์
– ทบทวนภารกิจใดควรดำเนินการต่อหรือไม่โดยคำนึงถึงแผนการบริหารราชการแผ่นดิน นโยบายคณะรัฐมนตรี กำลังเงินงบประมาณ และความคุ้มค่าของภารกิจและสถานการณ์ประกอบกัน ถ้ายกเลิก ปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงภารกิจให้ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ โครงสร้าง และอัตรากำลังให้สอดคล้องกัน (ม.33)
– กรณีมีการยุบโอน เลิก รวม ส่วนราชการใดไม่ให้จัดตั้งส่วนราชการที่ลักษณะเดียวดัน หรือคล้ายคลึงอีก (ม.34)
– สำรวจ ตรวจสอบ ทบทวนกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ ให้ทันสมัยและเหมาะสมกับสถานการณ์ หรือสอดคล้องกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศโดยคำนึงถึงความสะดวกรวดเร็วและลดภาระของประชาชนเป็นสำคัญ โดยนำข้อเสนอแนะของประชาชนมาพิจารณาด้วย (ม.35-36)

6. ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวก และได้รับการตอบสนองความต้องการ
– กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงานแต่ละงานและประกาศให้ข้าราชการและประชาชนทราบ และเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาจะต้องตรวจสอบให้ข้าราชการปฏิบัติงานให้แล้วเสร็จตามกำหนด เมื่อประชาชนสอบถามต้องตอบคำถาม หรือแจ้งการดำเนินการภายใน 15 วัน หรือภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตาม ม.๓๗ (ม.37-38)
– จัดให้มีระบบเครือข่ายสารสนเทศเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนติดต่อ สอบถาม ขอข้อมูล หรือแสดงความคิดเห็น ให้สอดคล้องกับระบบเดียวกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดให้มีขึ้น (ม.39-40)
– แจ้งคำร้องเรียน เสนอแนะ ความคิดเห็นไปยังบุคคลที่รับผิดชอบถ้ามีข้อมูลและสาระตามสมควรที่เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติราชการ อุปสรรค ความยุ่งยาก หรือปัญหาจากบุคคลใด โดยห้ามเปิดเผยชื่อ/ที่อยู่ของผู้ร้องเรียน เสนอแนะ หรือแสดงความคิดเห็น (ม.41)
– ตรวจสอบกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศว่าเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อน ล่าช้าต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมโดยเร็ว (ม.42)
– การปฏิบัติราชการใดถือเป็นเรื่องเปิดเผยยกเว้นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของประเทศ เศรษฐกิจ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน และคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลให้เป็นความลับเท่าที่จำเป็น (ม.43)
– เปิดเผยข้อมูลงบประมาณรายจ่ายประจำปีเกี่ยวกับรายการจัดซื้อจัดจ้าง และสัญญาที่ได้มีการอนุมัติ ให้ประชาชนขอดูและตรวจสอบได้ ยกเว้นข้อมูลก่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบแก่บุคคลใดในการจัดซื้อจัดจ้างหรืออยู่ภายใต้กฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ เกี่ยวกับการคุ้มครองความลับทางราชการหรือความลับทางการค้า(ม.44)

7. มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการสม่ำเสมอ
– นอกจากประเมินผลแผนปฏิบัติราชการแล้วต้องจัดให้มีคณะผู้ประเมินอิสระ ดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของภารกิจ คุณภาพการให้บริการ ความพึงพอใจของประชาชนผู้รับบริการ และความคุ้มค่าในภารกิจ (ม.45)
– ประเมินภาพรวมของผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับหรือหน่วยงานในส่วนราชการ ต้องทำเป็นความลับและเพื่อประโยชน์สามัคคีของข้าราชการ (ม.46)
– ประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการเพื่อประโยชน์ในการบริหารงานบุคคล ให้คำนึงถึงผลการปฏิบัติงานของของข้าราชการในตำแหน่งที่ปฏิบัติ ประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ของหน่วยงานที่สังกัดที่ได้รับจากการปฏิบัติงานของข้าราชการผู้นั้น (ม.47)
– ส่วนราชการใดดำเนินการให้บริการที่มีคุณภาพ เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด เป็นที่พึงพอใจแก่ประชาชน ให้เสนอจัดสรรเงินเพิ่มพิเศษเป็นบำเหน็จความชอบแก่ส่วนราชการหรือนำงบประมาณเหลือจ่ายไปปรับปรุงการปฏิบัติงานหรือจัดสรรเป็นรางวัลให้แก่ราชการในสังกัด (ม.48)
– ส่วนราชการใดดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมาย สามารถเพิ่มผลงานและผลสัมฤทธิ์โดย ไม่เพิ่มค่าใช้จ่ายและคุ้มค่าต่อภารกิจ สามารถดำเนินการตามแผนลดค่าใช้จ่ายต่อหน่วยได้ เป็นที่พึงพอใจแก่ประชาชน ให้เสนอจัดสรรเงินรางวัลการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ส่วนราชการนั้น หรือนำงบประมาณเหลือจ่ายไปปรับปรุงการปฏิบัติงานหรือจัดสรรเป็นรางวัลให้แก่ข้าราชการในสังกัด (ม.49)


การพัฒนาความคิดเพื่อการกำกับและดูแลกิจการที่ดี

มีนาคม 17, 2009

ผมสนใจเป็นอย่างมากในเรื่องการบรรยายและให้ข้อสังเกตในลักษณะการสร้างความคิดโดยพัฒนาความคิดใหม่ ๆ ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการเรียนการสอน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งจบมหาวิทยาลัยออกไปปฏิบัติงานแล้วก็ตาม หากบุคลากรของเรารู้จักใช้สติปัญญา พัฒนาเป็นความคิดที่ถูกต้อง ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และแน่นอนว่าควรจะสอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ที่พูดกันทั่วไปแต่ปฏิบัติแตกต่างกันค่อนข้างมาก

หากการเรียนการสอนสามารถเพิ่มแนวทางในการสร้างความคิดให้กับเด็ก ๆ ได้ ก็น่าจะเป็นแนวทางที่ดีในการพัฒนาชาติบ้านเมืองต่อไปในอนาคต

วันนี้ผมจึงนำเสนอเรื่องการพัฒนาความคิดเพื่อการกำกับและดูแลกิจการที่ดีเผื่อท่านผู้สนใจจะนำไปประยุกต์ใช้หรือพัฒนาความคิดให้ก้าวไกลยิ่งขึ้นครับ

การบริหารความเสี่ยงกับความคิดอย่างเป็นระบบเพื่อการจัดการที่ดี / IT & Non-IT

การบริหารความเสี่ยงกับความคิดอย่างเป็นระบบเพื่อการจัดการที่ดี / IT & Non-IT

…ท่านเคยสนใจบ้างไหมครับว่าองค์กรและพนักงานที่ท่านดูแลอยู่ รวมทั้งผู้ตรวจสอบภายใน ผู้ตรวจสอบภายนอกบางส่วนติดตามและก้าวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ซึ่งมีผลต่อการบริหารความเสี่ยงและการตรวจสอบที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายของประเทศและองค์กรของเรา!

การกำกับดูแลกิจการที่ดี หรือ Good Corporate Governance เป็นนามธรรมที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในองค์กร โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงต้องพัฒนานำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งต้องอาศัยความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความมุ่งมั่น ความเสียสละ และการมีคุณธรรมที่ถูกต้อง เพื่อความสำเร็จขององค์กรให้เป็นที่ยอมรับจากผู้มีประโยชน์ร่วม (Stakeholder) ขององค์กรทุกระดับ โดยทำความเข้าใจกับกิจกรรมหลัก ๆ ที่มีผลต่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายทั้งในระดับองค์กรและในระดับสายงานต่าง ๆ เพื่อกำหนดจุดควบคุม การบริหารความเสี่ยง การตรวจสอบภายในโดยใช้ฐานความเสี่ยง โดยมีเกณฑ์มาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับทั่วไป

ในสถานการณ์ที่นวัตกรรมทางการเงิน การบริหาร การปฏิบัติงาน การตรวจสอบ เทคโนโลยีและสารสนเทศ และความรู้ต่าง ๆ ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน การปรับตัวขององค์กรและพนักงานระดับต่าง ๆ เป็นความจำเป็น โดยไม่ยึดติดกับกรอบความคิดหรือวิธีการทำงานแบบเดิม ๆ องค์กรโดยเฉพาะฝ่ายบริหารต้องพร้อมที่จะก้าวไปในมิติใหม่ที่มีการค้นคว้าและยอมรับว่าเป็นผลดีอย่างยิ่งในการดำเนินงานให้สำเร็จตามเป้าหมายอย่างยั่งยืน โดยไม่จำเป็นต้องลองผิดลองถูกอย่างไม่มั่นใจ เพราะ Good Corporate Governance มีการค้นคว้าและนำไปปฎิบัติงานอย่างได้ผลดีในองค์กรต่าง ๆ ของหลายประเทศแล้ว

เนื้อหาในครั้งนี้ ผมจะไม่ขอกล่าวถึงการพัฒนากรอบการกำกับดูแลกิจการที่ดีที่ต้องพิจารณาไปพร้อมกับการบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน และการตรวจสอบตามฐานความเสี่ยงต่องานหลักต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานบริหารทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ แต่จะเน้นเรื่องการพัฒนาความคิดและการปฏิบัติของบุคลากรเพื่อก้าวไปสู่กระบวนการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญยิ่งต่อการปฏิรูปความเติบโต ความแข็งแกร่ง ความมั่นคงอย่างยั่งยืนของทุกองค์กรที่ต้องอาศัยความมีวิสัยทัศน์ที่ระดับผู้นำขององค์กรและผู้ที่เกี่ยวข้อง

จุดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาองค์กรและบุคลากรขององค์กรเพื่อก้าวไปสู่การกำกับดูแลกิจการที่ดีบางประการก็คือ:-

 การเปิดใจกว้างเพื่อยอมรับการเปลี่ยนแปลง

 ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง และก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วอย่างมั่นใจ

 การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นแล้วและจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น หากยังไม่แน่ใจเรื่องการวิเคราะห์ความเสี่ยงกับการเปลี่ยนแปลงดีพอ สิ่งที่ท่านพิจารณาก็คือ:-
o ต้องเข้าใจที่จะทำให้องค์กรมีความเรียบง่ายในทางราบและมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวสูงตามกลยุทธ์ที่เหมาะสม
o ไม่ยึดติดกับความคุ้นเคยที่ปฏิบัติกันมานานจนไม่กล้าที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งๆที่สิ่งแวดล้อมรอบข้างได้เปลี่ยนไปมากมายแล้ว
o ฝึกการเป็นผู้ช่างสังเกตหรือรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะมีผลกระทบต่อการบริหาร และการพัฒนาความรู้ของพนักงาน เพื่อช่วยให้เราบริหารและจัดการกับความเสี่ยงระดับต่าง ๆ ได้โดยไม่อาศัยบุญเก่า
o การพัฒนาความคิดและมีความมุ่งมั่นอย่างถูกต้องในการก้าวไปสู่การปฏิบัติ การปรับองค์กรและปรับปรุงวิธีการทำงานใหม่ๆต้องกระทำการอย่างรวดเร็วและทันการจึงจะมีประโยชน์ โดยหมั่นสอบถามและประเมินตนเองอย่างเสมอว่า
– เหตุการณ์หรือการประทำใด ๆ ทั้งโดยระบบงานหรือบุคคลอาจเกิดปัญหาหรือข้อผิดพลาดใดขึ้นได้บ้าง
– กระบวนการบริหารงาน การปฏิบัติงานที่ถูกต้องในปัจจุบันและอนาคต ควรเป็นเช่นใด

การถ่ายทอดความคิดที่เป็นกระบวนการไปสู่การบริหาร/การปฏิบัติ

การถ่ายทอดความคิดที่เป็นกระบวนการไปสู่การบริหาร/การปฏิบัติ

o องค์กรและ/หรือตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางสร้างสรรค์ของการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล
o มีรางวัลอยู่เสมอ เพียงแต่เราตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นที่จะแสวงหาโดยการบริหารความคิดและการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ และใช้ “ระบบงาน” คุมคนมากกว่าให้ “คน” คุมระบบงาน

 ในประเด็นเรื่อง “ระบบงาน” กับ “บุคลากร” นั้นมีผู้กล่าวไว้น่าสนใจว่า…
ระบบดี คนดี นั้นดีหน้า
ระบบดี คนแย่ พอแก้ไหว
ระบบแย่ คนดี มีทางไป
ระบบแย่ คนไม่เอาไหน บรรลัยเอย

อย่างไรก็ดีระบบงานที่ดี และคนดีที่มีความสามารถ โดยไม่มีการพัฒนาให้เหมาะสมตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และการบริหารการเปลี่ยนแปลงในเวลาที่เหมาะสมนั้นยังไม่ปรากฎอยู่ในโลกของการบริหารและการกำกับดูแลกิจการที่ดีในปัจจุบัน

o การยอมรับการเปลี่ยนแปลงแทนการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะนำองค์กรและตัวเราไปสู่วิธีคิดและวิถีการทำงานแบบใหม่ที่จะนำสิ่งดี ๆ มาสู่องค์กรและผู้ปฏิบัติอย่างมั่นใจ
o ความยั่งยืนขององค์กร ชีวิตการทำงาน และความเป็นอยู่ในการดำรงชีพภายใต้โลกของการเปลี่ยนแปลงจะดำเนินไปไม่ได้ถ้าทุกองค์กรไม่เร่งปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและพัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทุกหน่วยงานจึงต้องการองค์กรและพนักงานที่มีความยืดหยุ่น ถึงจะปรับตัวให้เข้ากับการกำกับดูแลกิจการที่ดี

ความตั้งใจจริงนำไปสู่ความคิดเชิงกลยุทธ์และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมของกระบวนการจัดการและการแก้ไขปัญหาที่ดี มีข้อสังเกตบางประการที่ควรพิจารณาก็คือ:-
 แนวคิดที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการบริหาร การปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะเป็นกรณีปกติหรือกรณีที่ประเทศหรือองค์กรมีปัญหา จากปัจจัยทั้งภายนอกและ/หรือปัจจัยภายใน ทั้งในระดับประเทศและระดับองค์กร มีมุมมองได้หลายด้าน และปัจจัยต่าง ๆ มีผลกระทบทั้งทางด้านบวกและด้านลบเพื่อมองต่างมุมเสมอ

 อันตรายที่ร้ายแรงที่สุดในการปฏิบัติงาน การบริหารก็คือการปฏิบัติตาม ๆ กันไปด้วยความเคยชิน โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในทางลบต่าง ๆ ในทุกระดับของการจัดการเปลี่ยนแปลงหรือความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เช่น บางหน่วยงานของรัฐมีระเบียบ กฎเกณฑ์ คำสั่งต่าง ๆ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมามากกว่า 30 ปี เป็นต้น

 ดังนั้นกลยุทธ์ของการบริหารโดยเริ่มต้นที่อนวคิดในเชิงป้องกันหรือเชิงรุกอย่างมีระบบ จะเป็นการบริหารและการปฏิบัติงานแบบยั่งยืนที่แท้จริง ทั้งนี้ ไม่จำกัดความคิดอยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น แต่จะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศ ต่อองค์กร หากบุคลากรที่เกี่ยวข้องจะมีส่วนร่วมด้วยช่วยกันคิดและมีการสื่อสารและช่วยกันสร้างมูลค่าเพิ่มจากความคิดทุกระดับอย่างสร้างสรรค์ มุ่งมั่น ทุ่มเท ติดตามผลอย่างจริงจังจากระดับบนสู่ระดับล่าง จากระดับล่างสู่ระดับบน และระดับราบระหว่างหน่วยงาน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่งานที่วัดได้และตรวจสอบได้

 ผู้บริหารระดับสูงหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะหน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจบางหน่วยงาน ผู้บริหารที่มีความสามารถมาก แต่ในทางปฏิบัติหลายท่านมีความคิดดี ๆ แต่ไม่อาจสานต่อไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมได้ เพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในการประชุมต่าง ๆ ประจำวันภายในองค์กร และภายนอกองค์กรตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่ปฏิบัติ ทำให้มีปัญหาอื่น ๆ ตามมา นั่นคือก้าวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งน่านะเป็นปัญหาสำคัญพื้นฐานของการนำองค์กรหรือหน่วยงานในสังกัดก้าวไปสู่การกำกับดูแลกิจการที่ดีได้

การพัฒนาความคิดเพื่อการบริหารและการจัดการที่ดีและนำไปสู่การนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม 10 ประการ
1. การปรับปรุงและพัฒนาการบริหารจากการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบหรือการบริหารความเสี่ยงนั้น ต้องกระทำตลอดเวลา เพราะไม่มีจุดสิ้นสุดของโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง
2. ควรศึกษา แสวงหาความรู้ทุกรูปแบบที่จำเป็นจากแหล่งต่างๆเพื่อประเมินถึงผลกระทบ และเพื่อการปรับปรุงการบริหารงานไปสู่วัตถุประสงค์และเป้าหมายของประเทศหรือองค์กรอย่างยั่งยืน
3. อย่ายึดติดกับความคิดและการปฏิบัติเดิม ๆ โดยไม่คำนึงถึงความพึงพอใจของผู้มีผลประโยชน์ร่วมที่เกี่ยวข้องของโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง
4. ควรคิดและตระหนักเสมอว่ายังมีวิธีการที่นำไปศุ่เป้าหมายและวัตถุประสงค์เสมอ
5. ไม่มีคำแก้ตัวสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้น
6. หากมีปัญหาเกิดขึ้นและต้องการคำตอบและการดำเนินการที่ถูกต้องแล้วให้หาวิธีการที่ง่ายและสะดวกที่พอบรรเทาปัฆานั้นๆโยไม่ต้องมุ่งมั่นถือการแก้ไขปัญหาสมบูรณ์แบบที่สุด เพราะอาจไม่มีวิธีการที่ว่านั้น
7. หากประเทศหรือองค์กรหรือแม้แต่ตัวของเราเองได้รับประสบการณ์จากความล้มเหลวในการดำเนินการหรือปฏิบัติใด ๆ ในอดีต ก็ควรวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาและข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น และต้องหาวิธีการไม่ให้เกิดความผิดพลาดนั้น หรือทำนองคล้าย ๆ กันเกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด และควรหาวิธีการสื่อข้อผิดพลาดและทำเป็นกรณีศึกษาที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้เป็นบทเรียนของประเทศหรือผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
8. ใช้ความคิดเชิงกลยุทธ์ในการบริหารเชิงรุก ในแง่มุมต่าง ๆ ของการจัดการกับความเสี่ยงอย่างฉลาด จะได้ผลกว่าการใช้เงินอย่างเดียวในการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาเพราะอาจเป็นความสูญเปล่า การวิเคราะห์ที่จุดอ่อน จุดแข็ง ซึ่งเป็นสถานภาพภายในประเทศหรือขององค์กรเองที่แก้ไขได้ป ปรับปรุงได้ พัฒนาได้ กับการวิเคราะห์โอกาสและอุปสรรค ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกองค์กรที่ไม่อาจควบคุมได้ จะมีประโยชน์ต่อการบริหารความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดความเสียหายได้
9. วิกฤติหรือปัญหาต่าง ๆ อาจสร้างโอกาสและรางวัลต่อเราได้ แต่แนวความคิดของการบริหารที่ไม่ถูกต้องกับสถานการณ์อาจสร้างวังวนของปัญหาในระดับต่าง ๆ ได้
10. หากประเทศหรือองค์กรหรือตัวเราเองเผชิญอุปสรรคให้หมั่นตั้งคำถามบ่อย ๆ ว่า…

ทำไมปัญหาจึงเกิดขึ้น และควรระดมความคิดที่ว่า … จะแก้ไขรวมทั้งป้องกันและบริหารเชิงรุกได้อย่างไรเพื่อการฟื้นฟูและทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีบทเรียนต่าง ๆ ในอดีดเป็นเรื่องเตือนความจำไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำได้อีก และมีอนาคตของการบรรลุเป้าหมายอย่างยั่งยืนเป็นธงชัย ด้วยวิธีการกำกับดูแลกิจการที่ดีซึ่งประกอบไปด้วย การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน การตรวจสอบภายในที่มีมาตรฐาน จากผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีคุณธรรมทุกระดับของการดำเนินงาน

สรุป
ถึงแม้ความคิดจะควบคุมเป็นรูปธรรมไม่ได้ แต่การตรวจสอบความคิดเชิงกลยุทธ์เพื่อการบริหารและการจัดการที่กีสามารถดำเนินการได้ด้วยการใช้ความคิดเชิงกลยุทธ์เช่นกัน

– เราช่วยกันคิด ช่วยกันทำ โดยการบริหารความคิดเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีกลยุทธ์และเป็นรูปธรรมในวันนี้ เพื่ออนาคตที่รุ่งเรืองของประเทศและขององค์การแล้วหรือยัง

– เรามีการประเมินความคิดที่จะนำไปสู่รูปธรรมที่เหมาะสมอย่างได้ผลที่วัดได้เมื่อถึงเวลาที่กำหนดแล้วหรือยัง ทั้งนี้อาจมีการทดสอบความคิดง่ายๆโดยตั้งคำถามพื้นฐานของผู้บริหารระดับสูงขององค์กรว่า

“องค์กรของเรามีการปรับโครงสร้าง วิธีการทำงานให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงทางกลยุทธ์ (strategic) ที่สอดคล้อง Strategic Thinking ที่เหมาะสมเมื่อใด”

– เราได้ตระหนักแล้วหรือยังว่าการทำธุรกิจ การผลิต การค้า การบริหารการเงิน การบริหาร ฯลฯ ความสามารถนั้นวัดกันที่ความคิดในหารบริหารความเสี่ยงและมีคุณธรรมที่จะนำสู่การปฏิบัติได้ผลต่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายอย่างยั่งยืนเป็นสำคัญ

– การพัฒนาความคิดที่ถูกต้องอย่างมีขั้นตอนและเป็นระบบซึ่งประกอบไปด้วย คน เทคโนโลยี และกระบวนการควบคุมภายในและการปฏิบัติงานจะนำไปสู่ขนาดของสำเร็จและความก้าวหน้าขององค์กรและประเทศชาติที่วัดได้

– การฝึกใจเป็นนิสัยเพื่อคิดอย่างมีระบบ และปฏิบัติได้จริงให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อความก้าวหน้าของประเทศและองค์กร จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานได้ทุกระดับ

– ความเชื่อมั่น ความทุ่มเท ความมุ่งมั่น ความกล้าหาญ ความดีงาม ความเสียสละ ความมีคุณธรรม คู่กันไปกับการพัฒนาความคิดเป็นสิ่งที่จำเป็นในการกำกับดูแลกิจการที่ดีซึ่งเป็นแม่บทของการบริหารความเสี่ยง กระบวนการควบคุมภายใน และการตรวจสอบภายในอย่างมีคุณภาพ


การพัฒนาความคิดเพื่อการกำกับและดูแลกิจการที่ดี

มีนาคม 17, 2009

ผมสนใจเป็นอย่างมากในเรื่องการบรรยายและให้ข้อสังเกตในลักษณะการสร้างความคิดโดยพัฒนาความคิดใหม่ ๆ ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการเรียนการสอน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งจบมหาวิทยาลัยออกไปปฏิบัติงานแล้วก็ตาม หากบุคลากรของเรารู้จักใช้สติปัญญา พัฒนาเป็นความคิดที่ถูกต้อง ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และแน่นอนว่าควรจะสอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ที่พูดกันทั่วไปแต่ปฏิบัติแตกต่างกันค่อนข้างมาก

หากการเรียนการสอนสามารถเพิ่มแนวทางในการสร้างความคิดให้กับเด็ก ๆ ได้ ก็น่าจะเป็นแนวทางที่ดีในการพัฒนาชาติบ้านเมืองต่อไปในอนาคต

วันนี้ผมจึงนำเสนอเรื่องการพัฒนาความคิดเพื่อการกำกับและดูแลกิจการที่ดีเผื่อท่านผู้สนใจจะนำไปประยุกต์ใช้หรือพัฒนาความคิดให้ก้าวไกลยิ่งขึ้นครับ

การบริหารความเสี่ยงกับความคิดอย่างเป็นระบบเพื่อการจัดการที่ดี / IT & Non-IT

การบริหารความเสี่ยงกับความคิดอย่างเป็นระบบเพื่อการจัดการที่ดี / IT & Non-IT

…ท่านเคยสนใจบ้างไหมครับว่าองค์กรและพนักงานที่ท่านดูแลอยู่ รวมทั้งผู้ตรวจสอบภายใน ผู้ตรวจสอบภายนอกบางส่วนติดตามและก้าวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ซึ่งมีผลต่อการบริหารความเสี่ยงและการตรวจสอบที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายของประเทศและองค์กรของเรา!

การกำกับดูแลกิจการที่ดี หรือ Good Corporate Governance เป็นนามธรรมที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในองค์กร โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงต้องพัฒนานำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งต้องอาศัยความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความมุ่งมั่น ความเสียสละ และการมีคุณธรรมที่ถูกต้อง เพื่อความสำเร็จขององค์กรให้เป็นที่ยอมรับจากผู้มีประโยชน์ร่วม (Stakeholder) ขององค์กรทุกระดับ โดยทำความเข้าใจกับกิจกรรมหลัก ๆ ที่มีผลต่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายทั้งในระดับองค์กรและในระดับสายงานต่าง ๆ เพื่อกำหนดจุดควบคุม การบริหารความเสี่ยง การตรวจสอบภายในโดยใช้ฐานความเสี่ยง โดยมีเกณฑ์มาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับทั่วไป

ในสถานการณ์ที่นวัตกรรมทางการเงิน การบริหาร การปฏิบัติงาน การตรวจสอบ เทคโนโลยีและสารสนเทศ และความรู้ต่าง ๆ ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน การปรับตัวขององค์กรและพนักงานระดับต่าง ๆ เป็นความจำเป็น โดยไม่ยึดติดกับกรอบความคิดหรือวิธีการทำงานแบบเดิม ๆ องค์กรโดยเฉพาะฝ่ายบริหารต้องพร้อมที่จะก้าวไปในมิติใหม่ที่มีการค้นคว้าและยอมรับว่าเป็นผลดีอย่างยิ่งในการดำเนินงานให้สำเร็จตามเป้าหมายอย่างยั่งยืน โดยไม่จำเป็นต้องลองผิดลองถูกอย่างไม่มั่นใจ เพราะ Good Corporate Governance มีการค้นคว้าและนำไปปฎิบัติงานอย่างได้ผลดีในองค์กรต่าง ๆ ของหลายประเทศแล้ว

เนื้อหาในครั้งนี้ ผมจะไม่ขอกล่าวถึงการพัฒนากรอบการกำกับดูแลกิจการที่ดีที่ต้องพิจารณาไปพร้อมกับการบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน และการตรวจสอบตามฐานความเสี่ยงต่องานหลักต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานบริหารทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ แต่จะเน้นเรื่องการพัฒนาความคิดและการปฏิบัติของบุคลากรเพื่อก้าวไปสู่กระบวนการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญยิ่งต่อการปฏิรูปความเติบโต ความแข็งแกร่ง ความมั่นคงอย่างยั่งยืนของทุกองค์กรที่ต้องอาศัยความมีวิสัยทัศน์ที่ระดับผู้นำขององค์กรและผู้ที่เกี่ยวข้อง

จุดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาองค์กรและบุคลากรขององค์กรเพื่อก้าวไปสู่การกำกับดูแลกิจการที่ดีบางประการก็คือ:-

 การเปิดใจกว้างเพื่อยอมรับการเปลี่ยนแปลง

 ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง และก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วอย่างมั่นใจ

 การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นแล้วและจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น หากยังไม่แน่ใจเรื่องการวิเคราะห์ความเสี่ยงกับการเปลี่ยนแปลงดีพอ สิ่งที่ท่านพิจารณาก็คือ:-
o ต้องเข้าใจที่จะทำให้องค์กรมีความเรียบง่ายในทางราบและมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวสูงตามกลยุทธ์ที่เหมาะสม
o ไม่ยึดติดกับความคุ้นเคยที่ปฏิบัติกันมานานจนไม่กล้าที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งๆที่สิ่งแวดล้อมรอบข้างได้เปลี่ยนไปมากมายแล้ว
o ฝึกการเป็นผู้ช่างสังเกตหรือรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะมีผลกระทบต่อการบริหาร และการพัฒนาความรู้ของพนักงาน เพื่อช่วยให้เราบริหารและจัดการกับความเสี่ยงระดับต่าง ๆ ได้โดยไม่อาศัยบุญเก่า
o การพัฒนาความคิดและมีความมุ่งมั่นอย่างถูกต้องในการก้าวไปสู่การปฏิบัติ การปรับองค์กรและปรับปรุงวิธีการทำงานใหม่ๆต้องกระทำการอย่างรวดเร็วและทันการจึงจะมีประโยชน์ โดยหมั่นสอบถามและประเมินตนเองอย่างเสมอว่า
– เหตุการณ์หรือการประทำใด ๆ ทั้งโดยระบบงานหรือบุคคลอาจเกิดปัญหาหรือข้อผิดพลาดใดขึ้นได้บ้าง
– กระบวนการบริหารงาน การปฏิบัติงานที่ถูกต้องในปัจจุบันและอนาคต ควรเป็นเช่นใด

การถ่ายทอดความคิดที่เป็นกระบวนการไปสู่การบริหาร/การปฏิบัติ

การถ่ายทอดความคิดที่เป็นกระบวนการไปสู่การบริหาร/การปฏิบัติ

o องค์กรและ/หรือตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางสร้างสรรค์ของการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล
o มีรางวัลอยู่เสมอ เพียงแต่เราตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นที่จะแสวงหาโดยการบริหารความคิดและการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ และใช้ “ระบบงาน” คุมคนมากกว่าให้ “คน” คุมระบบงาน

 ในประเด็นเรื่อง “ระบบงาน” กับ “บุคลากร” นั้นมีผู้กล่าวไว้น่าสนใจว่า…
ระบบดี คนดี นั้นดีหน้า
ระบบดี คนแย่ พอแก้ไหว
ระบบแย่ คนดี มีทางไป
ระบบแย่ คนไม่เอาไหน บรรลัยเอย

อย่างไรก็ดีระบบงานที่ดี และคนดีที่มีความสามารถ โดยไม่มีการพัฒนาให้เหมาะสมตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และการบริหารการเปลี่ยนแปลงในเวลาที่เหมาะสมนั้นยังไม่ปรากฎอยู่ในโลกของการบริหารและการกำกับดูแลกิจการที่ดีในปัจจุบัน

o การยอมรับการเปลี่ยนแปลงแทนการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะนำองค์กรและตัวเราไปสู่วิธีคิดและวิถีการทำงานแบบใหม่ที่จะนำสิ่งดี ๆ มาสู่องค์กรและผู้ปฏิบัติอย่างมั่นใจ
o ความยั่งยืนขององค์กร ชีวิตการทำงาน และความเป็นอยู่ในการดำรงชีพภายใต้โลกของการเปลี่ยนแปลงจะดำเนินไปไม่ได้ถ้าทุกองค์กรไม่เร่งปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและพัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทุกหน่วยงานจึงต้องการองค์กรและพนักงานที่มีความยืดหยุ่น ถึงจะปรับตัวให้เข้ากับการกำกับดูแลกิจการที่ดี

ความตั้งใจจริงนำไปสู่ความคิดเชิงกลยุทธ์และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมของกระบวนการจัดการและการแก้ไขปัญหาที่ดี มีข้อสังเกตบางประการที่ควรพิจารณาก็คือ:-
 แนวคิดที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการบริหาร การปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะเป็นกรณีปกติหรือกรณีที่ประเทศหรือองค์กรมีปัญหา จากปัจจัยทั้งภายนอกและ/หรือปัจจัยภายใน ทั้งในระดับประเทศและระดับองค์กร มีมุมมองได้หลายด้าน และปัจจัยต่าง ๆ มีผลกระทบทั้งทางด้านบวกและด้านลบเพื่อมองต่างมุมเสมอ

 อันตรายที่ร้ายแรงที่สุดในการปฏิบัติงาน การบริหารก็คือการปฏิบัติตาม ๆ กันไปด้วยความเคยชิน โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในทางลบต่าง ๆ ในทุกระดับของการจัดการเปลี่ยนแปลงหรือความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เช่น บางหน่วยงานของรัฐมีระเบียบ กฎเกณฑ์ คำสั่งต่าง ๆ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมามากกว่า 30 ปี เป็นต้น

 ดังนั้นกลยุทธ์ของการบริหารโดยเริ่มต้นที่อนวคิดในเชิงป้องกันหรือเชิงรุกอย่างมีระบบ จะเป็นการบริหารและการปฏิบัติงานแบบยั่งยืนที่แท้จริง ทั้งนี้ ไม่จำกัดความคิดอยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น แต่จะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศ ต่อองค์กร หากบุคลากรที่เกี่ยวข้องจะมีส่วนร่วมด้วยช่วยกันคิดและมีการสื่อสารและช่วยกันสร้างมูลค่าเพิ่มจากความคิดทุกระดับอย่างสร้างสรรค์ มุ่งมั่น ทุ่มเท ติดตามผลอย่างจริงจังจากระดับบนสู่ระดับล่าง จากระดับล่างสู่ระดับบน และระดับราบระหว่างหน่วยงาน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่งานที่วัดได้และตรวจสอบได้

 ผู้บริหารระดับสูงหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะหน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจบางหน่วยงาน ผู้บริหารที่มีความสามารถมาก แต่ในทางปฏิบัติหลายท่านมีความคิดดี ๆ แต่ไม่อาจสานต่อไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมได้ เพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในการประชุมต่าง ๆ ประจำวันภายในองค์กร และภายนอกองค์กรตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่ปฏิบัติ ทำให้มีปัญหาอื่น ๆ ตามมา นั่นคือก้าวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งน่านะเป็นปัญหาสำคัญพื้นฐานของการนำองค์กรหรือหน่วยงานในสังกัดก้าวไปสู่การกำกับดูแลกิจการที่ดีได้

การพัฒนาความคิดเพื่อการบริหารและการจัดการที่ดีและนำไปสู่การนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม 10 ประการ
1. การปรับปรุงและพัฒนาการบริหารจากการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบหรือการบริหารความเสี่ยงนั้น ต้องกระทำตลอดเวลา เพราะไม่มีจุดสิ้นสุดของโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง
2. ควรศึกษา แสวงหาความรู้ทุกรูปแบบที่จำเป็นจากแหล่งต่างๆเพื่อประเมินถึงผลกระทบ และเพื่อการปรับปรุงการบริหารงานไปสู่วัตถุประสงค์และเป้าหมายของประเทศหรือองค์กรอย่างยั่งยืน
3. อย่ายึดติดกับความคิดและการปฏิบัติเดิม ๆ โดยไม่คำนึงถึงความพึงพอใจของผู้มีผลประโยชน์ร่วมที่เกี่ยวข้องของโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง
4. ควรคิดและตระหนักเสมอว่ายังมีวิธีการที่นำไปศุ่เป้าหมายและวัตถุประสงค์เสมอ
5. ไม่มีคำแก้ตัวสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้น
6. หากมีปัญหาเกิดขึ้นและต้องการคำตอบและการดำเนินการที่ถูกต้องแล้วให้หาวิธีการที่ง่ายและสะดวกที่พอบรรเทาปัฆานั้นๆโยไม่ต้องมุ่งมั่นถือการแก้ไขปัญหาสมบูรณ์แบบที่สุด เพราะอาจไม่มีวิธีการที่ว่านั้น
7. หากประเทศหรือองค์กรหรือแม้แต่ตัวของเราเองได้รับประสบการณ์จากความล้มเหลวในการดำเนินการหรือปฏิบัติใด ๆ ในอดีต ก็ควรวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาและข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น และต้องหาวิธีการไม่ให้เกิดความผิดพลาดนั้น หรือทำนองคล้าย ๆ กันเกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด และควรหาวิธีการสื่อข้อผิดพลาดและทำเป็นกรณีศึกษาที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้เป็นบทเรียนของประเทศหรือผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
8. ใช้ความคิดเชิงกลยุทธ์ในการบริหารเชิงรุก ในแง่มุมต่าง ๆ ของการจัดการกับความเสี่ยงอย่างฉลาด จะได้ผลกว่าการใช้เงินอย่างเดียวในการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาเพราะอาจเป็นความสูญเปล่า การวิเคราะห์ที่จุดอ่อน จุดแข็ง ซึ่งเป็นสถานภาพภายในประเทศหรือขององค์กรเองที่แก้ไขได้ป ปรับปรุงได้ พัฒนาได้ กับการวิเคราะห์โอกาสและอุปสรรค ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกองค์กรที่ไม่อาจควบคุมได้ จะมีประโยชน์ต่อการบริหารความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดความเสียหายได้
9. วิกฤติหรือปัญหาต่าง ๆ อาจสร้างโอกาสและรางวัลต่อเราได้ แต่แนวความคิดของการบริหารที่ไม่ถูกต้องกับสถานการณ์อาจสร้างวังวนของปัญหาในระดับต่าง ๆ ได้
10. หากประเทศหรือองค์กรหรือตัวเราเองเผชิญอุปสรรคให้หมั่นตั้งคำถามบ่อย ๆ ว่า…

ทำไมปัญหาจึงเกิดขึ้น และควรระดมความคิดที่ว่า … จะแก้ไขรวมทั้งป้องกันและบริหารเชิงรุกได้อย่างไรเพื่อการฟื้นฟูและทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีบทเรียนต่าง ๆ ในอดีดเป็นเรื่องเตือนความจำไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำได้อีก และมีอนาคตของการบรรลุเป้าหมายอย่างยั่งยืนเป็นธงชัย ด้วยวิธีการกำกับดูแลกิจการที่ดีซึ่งประกอบไปด้วย การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน การตรวจสอบภายในที่มีมาตรฐาน จากผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีคุณธรรมทุกระดับของการดำเนินงาน

สรุป
ถึงแม้ความคิดจะควบคุมเป็นรูปธรรมไม่ได้ แต่การตรวจสอบความคิดเชิงกลยุทธ์เพื่อการบริหารและการจัดการที่กีสามารถดำเนินการได้ด้วยการใช้ความคิดเชิงกลยุทธ์เช่นกัน

– เราช่วยกันคิด ช่วยกันทำ โดยการบริหารความคิดเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีกลยุทธ์และเป็นรูปธรรมในวันนี้ เพื่ออนาคตที่รุ่งเรืองของประเทศและขององค์การแล้วหรือยัง

– เรามีการประเมินความคิดที่จะนำไปสู่รูปธรรมที่เหมาะสมอย่างได้ผลที่วัดได้เมื่อถึงเวลาที่กำหนดแล้วหรือยัง ทั้งนี้อาจมีการทดสอบความคิดง่ายๆโดยตั้งคำถามพื้นฐานของผู้บริหารระดับสูงขององค์กรว่า

“องค์กรของเรามีการปรับโครงสร้าง วิธีการทำงานให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงทางกลยุทธ์ (strategic) ที่สอดคล้อง Strategic Thinking ที่เหมาะสมเมื่อใด”

– เราได้ตระหนักแล้วหรือยังว่าการทำธุรกิจ การผลิต การค้า การบริหารการเงิน การบริหาร ฯลฯ ความสามารถนั้นวัดกันที่ความคิดในหารบริหารความเสี่ยงและมีคุณธรรมที่จะนำสู่การปฏิบัติได้ผลต่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายอย่างยั่งยืนเป็นสำคัญ

– การพัฒนาความคิดที่ถูกต้องอย่างมีขั้นตอนและเป็นระบบซึ่งประกอบไปด้วย คน เทคโนโลยี และกระบวนการควบคุมภายในและการปฏิบัติงานจะนำไปสู่ขนาดของสำเร็จและความก้าวหน้าขององค์กรและประเทศชาติที่วัดได้

– การฝึกใจเป็นนิสัยเพื่อคิดอย่างมีระบบ และปฏิบัติได้จริงให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อความก้าวหน้าของประเทศและองค์กร จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานได้ทุกระดับ

– ความเชื่อมั่น ความทุ่มเท ความมุ่งมั่น ความกล้าหาญ ความดีงาม ความเสียสละ ความมีคุณธรรม คู่กันไปกับการพัฒนาความคิดเป็นสิ่งที่จำเป็นในการกำกับดูแลกิจการที่ดีซึ่งเป็นแม่บทของการบริหารความเสี่ยง กระบวนการควบคุมภายใน และการตรวจสอบภายในอย่างมีคุณภาพ


บรรษัทภิบาล/การบริหารการจัดการที่ดีกับจริยธรรมองค์กร

มีนาคม 8, 2009

5. ธรรมาภิบาลกับการบริหารความเสี่ยง

CG กับ RM และการประเมินคุณภาพ

ธรรมาภิบาล (Good Governance) ซึ่งเป็นแม่บทของบรรษัทภิบาล หรือการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) หรือ Corporate Governance หรือ CG ที่เคียงคู่กันกับการกำกับดูแลกิจการที่ดีทางด้านสารสนเทศ (IT Governance) นั้น คงเป็นที่เข้าใจกันดีเพราะกล่าวถึงและใช้กันมาหลายปีแล้ว แต่เนื่องจากความคิดและความเข้าใจ ความมุ่งมั่นเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมที่ทำได้ วัดได้ ตรวจสอบได้ รายงานความเกี่ยวข้อง ความเกี่ยวพัน การสอดประสาน การบูรณาการที่มีพื้นฐานแตกต่างกัน ทำให้หลักการที่ดีที่หลายองค์กรต่างก็อ้างว่าได้ปฏิบัติแล้ว มีคู่มือแล้ว มีโครงสร้างแล้ว มีนโยบายและระเบียบครอบคลุมดีแล้ว รวมทั้งองค์กรก็นำระบบการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร (Enterprise Risk Management – ERM) ตามหลักการของ COSO ใหม่ (Committee of Sponsoring Organization of the Treadway Commission) 8 ประการ แต่หลายองค์กรก็มีปัญหาในการบริหารเพื่อการบรรลุเป้าหมายหลัก ๆ ของทุกองค์กรทั้ง 4 ประการ คือ S (Strategic) + O (Operation) + F (Financial & Reporting) + C (Compliance) ซึ่งอาจจะอธิบายด้วยแผนภาพเพื่อก้าวไปสู่การบริหารเชิงรุก โดยการมองถึงอนาคตที่อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์และหาทางจัดการ ป้องกัน ควบคุม เพื่อให้ประเทศ องค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ก้าวไปสู่เป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้

ส่วนประกอบของ ERM

มุมมองตามหลัก COSO – Based ที่ต้องการการบริหารแบบผสมผสานและบูรณาการในมิติต่าง ๆ ตั้งแต่ส่วนประกอบของการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร (ERM) ทั้ง 8 ประการ กับเป้าประสงค์ของการบริหารงานโดยทั่วไป 4 ข้อ และการเชื่อมโยงไปสู่ระดับการบริหารความเสี่ยง 4 ระดับ

COSO_Based

COSO_Based

5.1. องค์กรไม่อาจก้าวไปสู่เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ระดับต่าง ๆ ขององค์กร (Strategic Risk) ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Appetite) ตามมุมมองของหลักการ Balanced Scorecard ที่กำหนด

5.2. องค์กรไม่อาจก้าวไปสู่เป้าหมายด้านการปฏิบัติงาน/การดำเนินงาน การบริหารที่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับบุคลากร กระบวนการทำงาน และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สนองตอบต่อกลยุทธ์และนโยบายขององค์กร (Operational Risk) ที่อยู่ในระดับและกรอบที่องค์กรกำหนดได้

5.3. องค์กรไม่อาจก้าวไปสู่เป้าหมายด้านการรายงานต่าง ๆ ที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือได้ ตามกรอบของความเสี่ยงที่กำหนด โดยเฉพาะรายงานทางด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และรายงานทางการเงิน (Reporting /Financial Risk)

5.4. องค์กรไม่อาจก้าวไปสู่การปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ คำสั่ง ประกาศ ขั้นตอนการปฏิบัติงานต่าง ๆ ได้อย่างมีคุณภาพที่ยอมรับได้ (Compliance Risk)

ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายที่เป็นทั้ง Tangible Asset/Value และ Intangible Asset/Value เช่น การเสื่อมเสียชื่อเสียง ขาดความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) อาจสร้างภาระปัญหา ความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สร้างภาระผูกพันในทางลบต่อฐานะและความมั่นคงทางการเงิน/การดำเนินงาน จากการไม่ปฏิบัติหรือการปฏิบัติที่ย่อหย่อนทางด้านคุณภาพ โดยไม่ส่งเสริมการปฏิบัติอันเป็นเลิศและการมีจรรยาบรรณที่ดีในการประกอบธุรกิจ (Promotion of Best Practices) ศักยภาพการจัดการตามสภาวะการณ์ที่ต้องปฏิบัติให้สมกับความไว้วางใจจากเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น (Fiduciary Duty) อย่างที่ควรจะเป็น หากองค์กรมีผู้บริหารแบบมืออาชีพ และทำหน้าที่อย่างผู้เป็นเจ้าของจะพึงปฏิบัติ เป็นต้น


บรรษัทภิบาล/การบริหารการจัดการที่ดีกับจริยธรรมองค์กร

มีนาคม 8, 2009

5. ธรรมาภิบาลกับการบริหารความเสี่ยง

CG กับ RM และการประเมินคุณภาพ

ธรรมาภิบาล (Good Governance) ซึ่งเป็นแม่บทของบรรษัทภิบาล หรือการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) หรือ Corporate Governance หรือ CG ที่เคียงคู่กันกับการกำกับดูแลกิจการที่ดีทางด้านสารสนเทศ (IT Governance) นั้น คงเป็นที่เข้าใจกันดีเพราะกล่าวถึงและใช้กันมาหลายปีแล้ว แต่เนื่องจากความคิดและความเข้าใจ ความมุ่งมั่นเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมที่ทำได้ วัดได้ ตรวจสอบได้ รายงานความเกี่ยวข้อง ความเกี่ยวพัน การสอดประสาน การบูรณาการที่มีพื้นฐานแตกต่างกัน ทำให้หลักการที่ดีที่หลายองค์กรต่างก็อ้างว่าได้ปฏิบัติแล้ว มีคู่มือแล้ว มีโครงสร้างแล้ว มีนโยบายและระเบียบครอบคลุมดีแล้ว รวมทั้งองค์กรก็นำระบบการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร (Enterprise Risk Management – ERM) ตามหลักการของ COSO ใหม่ (Committee of Sponsoring Organization of the Treadway Commission) 8 ประการ แต่หลายองค์กรก็มีปัญหาในการบริหารเพื่อการบรรลุเป้าหมายหลัก ๆ ของทุกองค์กรทั้ง 4 ประการ คือ S (Strategic) + O (Operation) + F (Financial & Reporting) + C (Compliance) ซึ่งอาจจะอธิบายด้วยแผนภาพเพื่อก้าวไปสู่การบริหารเชิงรุก โดยการมองถึงอนาคตที่อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์และหาทางจัดการ ป้องกัน ควบคุม เพื่อให้ประเทศ องค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ก้าวไปสู่เป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้

ส่วนประกอบของ ERM

มุมมองตามหลัก COSO – Based ที่ต้องการการบริหารแบบผสมผสานและบูรณาการในมิติต่าง ๆ ตั้งแต่ส่วนประกอบของการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร (ERM) ทั้ง 8 ประการ กับเป้าประสงค์ของการบริหารงานโดยทั่วไป 4 ข้อ และการเชื่อมโยงไปสู่ระดับการบริหารความเสี่ยง 4 ระดับ

COSO_Based

COSO_Based

5.1. องค์กรไม่อาจก้าวไปสู่เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ระดับต่าง ๆ ขององค์กร (Strategic Risk) ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Appetite) ตามมุมมองของหลักการ Balanced Scorecard ที่กำหนด

5.2. องค์กรไม่อาจก้าวไปสู่เป้าหมายด้านการปฏิบัติงาน/การดำเนินงาน การบริหารที่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับบุคลากร กระบวนการทำงาน และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สนองตอบต่อกลยุทธ์และนโยบายขององค์กร (Operational Risk) ที่อยู่ในระดับและกรอบที่องค์กรกำหนดได้

5.3. องค์กรไม่อาจก้าวไปสู่เป้าหมายด้านการรายงานต่าง ๆ ที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือได้ ตามกรอบของความเสี่ยงที่กำหนด โดยเฉพาะรายงานทางด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และรายงานทางการเงิน (Reporting /Financial Risk)

5.4. องค์กรไม่อาจก้าวไปสู่การปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ คำสั่ง ประกาศ ขั้นตอนการปฏิบัติงานต่าง ๆ ได้อย่างมีคุณภาพที่ยอมรับได้ (Compliance Risk)

ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายที่เป็นทั้ง Tangible Asset/Value และ Intangible Asset/Value เช่น การเสื่อมเสียชื่อเสียง ขาดความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) อาจสร้างภาระปัญหา ความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สร้างภาระผูกพันในทางลบต่อฐานะและความมั่นคงทางการเงิน/การดำเนินงาน จากการไม่ปฏิบัติหรือการปฏิบัติที่ย่อหย่อนทางด้านคุณภาพ โดยไม่ส่งเสริมการปฏิบัติอันเป็นเลิศและการมีจรรยาบรรณที่ดีในการประกอบธุรกิจ (Promotion of Best Practices) ศักยภาพการจัดการตามสภาวะการณ์ที่ต้องปฏิบัติให้สมกับความไว้วางใจจากเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น (Fiduciary Duty) อย่างที่ควรจะเป็น หากองค์กรมีผู้บริหารแบบมืออาชีพ และทำหน้าที่อย่างผู้เป็นเจ้าของจะพึงปฏิบัติ เป็นต้น


บรรษัทภิบาล/การบริหารการจัดการที่ดีกับจริยธรรมองค์กร

มีนาคม 5, 2009

4. กรอบความคิดสู่มิติใหม่ของการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกกับ Intangible Asset ขององค์กร

ความเสี่ยงคืออะไร
ความเสี่ยง คือ เหตุการณ์ / การกระทำใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต และจะส่งผลกระทบ หรือสร้างความเสียหาย หรือความล้มเหลว การทุจริต หรือลดโอกาสที่จะบรรลุความสำเร็จรวมทั้งการสร้างคุณค่าเพิ่มต่อการบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ทั้งในระดับองค์กร ระดับหน่วยงานและบุคลากรได้

ความเสี่ยงที่สำคัญประการหนึ่งในองค์กรที่ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ก็คือ การขาดความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์ การบริหาร การดำเนินการ และการบริหารความเสี่ยงระหว่างการวางแผนธุรกิจขององค์กรกับการวางแผนธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่เห็นคุณค่า และความเข้าใจที่แตกต่างกันค่อนข้างมากของสินทรัพย์และมูลค่าที่ไม่มีตัวตน (Intangible Asset/Value) รวมทั้งการพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนที่คำนึงถึงผลตอบแทนทางการเงินหรือมูลค่าที่จับต้องได้เป็นส่วนใหญ่ ที่เรียกกันว่า Tangible Asset/Value

นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากความไม่เข้าใจผลกระทบจากการด้อยค่าหรือการสร้างคุณค่าเพิ่ม (Value Creation) ในการพิจารณาการบริหารความเสี่ยงและการตอบแทนที่คุ้มค่าจาก Invisible Value จาก Intangible Asset/Value ทำให้เกิดความเสี่ยงตั้งแต่การกำหนดนโยบาย กลยุทธ์ การลงทุน รวมทั้งศักยภาพการแข่งขันอย่างน่าเสียดาย

ดังนั้น การจัดการกับความเสี่ยงและการระบุความเสี่ยงจากต้นเหตุและผลกระทบตามหลัก Balanced Scorecard ก่อนจะเกิดปัญหาในมุมมองต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในการก้าวไปสู่การกำกับดูแลกิจการที่ดีของทุกองค์กร

Value Creation จาก Intangible Asset/Value เช่น ความน่าเชื่อถือได้ การยอมรับในศักยภาพ ความสามารถในการบริหารความมีชื่อเสียงทางที่ดี ความสามารถในการแข่งขันในรูปแบบต่าง ๆ ความรู้ความสามารถของบุคลากร กระบวนการจัดการที่ดี ระบบงานและสารสนเทศที่น่าเชื่อถือได้ ความสัมพันธ์ การสอดประสานบูรณาการระหว่างแผนธุรกิจขององค์กร กับ IT Master Plan ในระดับต่าง ๆ มีคุณค่าอเนกอนันต์ และมีมูลค่าเชิงพาณิชย์ที่ในอนาคตอันใกล้จะได้รับการประเมินมูลค่าหรือตีราคาในงบการเงินที่สำคัญยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการพิจารณาควบหรือรวมกิจการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประเมินมูลค่าของสินทรัพย์และหนี้สิน (Due Diligences) ที่สามารถสร้างมูลค่าทางการเงินที่ตีค่าและราคาเป็นเงินในรูปแบบ Tangible Asset/Value ขององค์กรได้อย่างสำคัญ

การประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนขององค์กรจะต้องพิจารณาทางด้าน Tangible Asset/Value และ Intangible/Value ร่วมกันเสมอ เนื่องจาก Intangible Assets เช่น ความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูลและสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิผล ประสิทธิภาพ การปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ประกาศ คำสั่งต่าง ๆ (Compliance) ศักยภาพในการแข่งขัน การสร้างคุณค่าเพิ่มในระยะยาว การลดต้นทุนและการลดการปฏิบัติงานซ้ำซ้อน ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ลดขั้นตอนการควบคุม ลดขั้นตอนการตรวจสอบ รวมทั้ง การสร้างความมั่นใจอย่างสมเหตุสมผลในความถูกต้องของรายงานทางการเงิน และรายงานที่ไม่ใช่การเงิน รวมทั้งการปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักการตามมาตรฐานที่ยอมรับกันโดยทั่วไปและเป็นสากลที่เป็นความต้องการของทั้งผู้กำกับ ผู้ร่วมค้า และพันธมิตร ซึ่งเป็นการสร้างความโปร่งใสและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนที่มั่นใจได้ และอื่น ๆ นั้น

มีผู้บริหารและผู้ตรวจสอบ รวมทั้งผู้กำกับ (Regulators) ขององค์กรที่เกี่ยวข้องจำนวนไม่น้อยที่ยังเข้าใจเรื่อง Intangible Asset/Value ที่เกิดขึ้นในองค์กรแตกต่างกันมาก ทำให้การประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนและผลตอบแทนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขาดดุลยภาพที่ดีในกระบวนการจัดการโดยรวม นับเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการก้าวสู่การบริหารความเสี่ยงภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG-Corporate Governance) ที่ต้องปฏิบัติควบคู่กันไปกับ IT Governance อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึง Statement ใหม่ ทางด้านการบริหารการจัดการยุคใหม่ แต่ยังใช้หลักการเดิมคือ การกำกับดูแลกิจการที่ดี (Governance) การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) การปฏิบัติตามกฏหมาย กฎเกณฑ์ ฯ (Compliance) ที่เรียกชื่อย่อ ๆ ว่า GRC ในปัจจุบัน

การอธิบายในเรื่อง GRC ที่เป็นรายละเอียด ผู้เขียนจะได้กล่าวในตอนต่อ ๆ ไป

ในมุมมองทางด้านจรรยาบรรณและการบริหาร อาจพิจารณาได้ว่าการไม่นำ Intangible Asset และ Value ที่ยังไม่ตีค่าเป็น Asset หรือ Value มาคำนวณเป็นมูลค่าเพิ่ม หรือผลประโยชน์ที่ได้รับที่มีคุณค่ามากกว่า Tangible Assetในหลาย ๆ มุมมองตามหลักที่สูงกว่าร้อยละ 85 ของ Asset ขององค์กรที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นหลักในการบริหารงานและการจัดการ (Source : Balance Scorecard Collaborative Inc. & Roberts Kaplan) เป็นประเด็นสำคัญยิ่งในการพิจารณาความรู้ความสามารถ หรือจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง ที่ CEO, CFO และ CIO ควรมีโอกาสได้รับการพัฒนาความรู้ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง


บรรษัทภิบาล/การบริหารการจัดการที่ดีกับจริยธรรมองค์กร

มีนาคม 5, 2009

4. กรอบความคิดสู่มิติใหม่ของการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกกับ Intangible Asset ขององค์กร

ความเสี่ยงคืออะไร
ความเสี่ยง คือ เหตุการณ์ / การกระทำใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต และจะส่งผลกระทบ หรือสร้างความเสียหาย หรือความล้มเหลว การทุจริต หรือลดโอกาสที่จะบรรลุความสำเร็จรวมทั้งการสร้างคุณค่าเพิ่มต่อการบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ทั้งในระดับองค์กร ระดับหน่วยงานและบุคลากรได้

ความเสี่ยงที่สำคัญประการหนึ่งในองค์กรที่ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ก็คือ การขาดความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์ การบริหาร การดำเนินการ และการบริหารความเสี่ยงระหว่างการวางแผนธุรกิจขององค์กรกับการวางแผนธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่เห็นคุณค่า และความเข้าใจที่แตกต่างกันค่อนข้างมากของสินทรัพย์และมูลค่าที่ไม่มีตัวตน (Intangible Asset/Value) รวมทั้งการพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนที่คำนึงถึงผลตอบแทนทางการเงินหรือมูลค่าที่จับต้องได้เป็นส่วนใหญ่ ที่เรียกกันว่า Tangible Asset/Value

นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากความไม่เข้าใจผลกระทบจากการด้อยค่าหรือการสร้างคุณค่าเพิ่ม (Value Creation) ในการพิจารณาการบริหารความเสี่ยงและการตอบแทนที่คุ้มค่าจาก Invisible Value จาก Intangible Asset/Value ทำให้เกิดความเสี่ยงตั้งแต่การกำหนดนโยบาย กลยุทธ์ การลงทุน รวมทั้งศักยภาพการแข่งขันอย่างน่าเสียดาย

ดังนั้น การจัดการกับความเสี่ยงและการระบุความเสี่ยงจากต้นเหตุและผลกระทบตามหลัก Balanced Scorecard ก่อนจะเกิดปัญหาในมุมมองต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในการก้าวไปสู่การกำกับดูแลกิจการที่ดีของทุกองค์กร

Value Creation จาก Intangible Asset/Value เช่น ความน่าเชื่อถือได้ การยอมรับในศักยภาพ ความสามารถในการบริหารความมีชื่อเสียงทางที่ดี ความสามารถในการแข่งขันในรูปแบบต่าง ๆ ความรู้ความสามารถของบุคลากร กระบวนการจัดการที่ดี ระบบงานและสารสนเทศที่น่าเชื่อถือได้ ความสัมพันธ์ การสอดประสานบูรณาการระหว่างแผนธุรกิจขององค์กร กับ IT Master Plan ในระดับต่าง ๆ มีคุณค่าอเนกอนันต์ และมีมูลค่าเชิงพาณิชย์ที่ในอนาคตอันใกล้จะได้รับการประเมินมูลค่าหรือตีราคาในงบการเงินที่สำคัญยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการพิจารณาควบหรือรวมกิจการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประเมินมูลค่าของสินทรัพย์และหนี้สิน (Due Diligences) ที่สามารถสร้างมูลค่าทางการเงินที่ตีค่าและราคาเป็นเงินในรูปแบบ Tangible Asset/Value ขององค์กรได้อย่างสำคัญ

การประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนขององค์กรจะต้องพิจารณาทางด้าน Tangible Asset/Value และ Intangible/Value ร่วมกันเสมอ เนื่องจาก Intangible Assets เช่น ความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูลและสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิผล ประสิทธิภาพ การปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ประกาศ คำสั่งต่าง ๆ (Compliance) ศักยภาพในการแข่งขัน การสร้างคุณค่าเพิ่มในระยะยาว การลดต้นทุนและการลดการปฏิบัติงานซ้ำซ้อน ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ลดขั้นตอนการควบคุม ลดขั้นตอนการตรวจสอบ รวมทั้ง การสร้างความมั่นใจอย่างสมเหตุสมผลในความถูกต้องของรายงานทางการเงิน และรายงานที่ไม่ใช่การเงิน รวมทั้งการปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักการตามมาตรฐานที่ยอมรับกันโดยทั่วไปและเป็นสากลที่เป็นความต้องการของทั้งผู้กำกับ ผู้ร่วมค้า และพันธมิตร ซึ่งเป็นการสร้างความโปร่งใสและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนที่มั่นใจได้ และอื่น ๆ นั้น

มีผู้บริหารและผู้ตรวจสอบ รวมทั้งผู้กำกับ (Regulators) ขององค์กรที่เกี่ยวข้องจำนวนไม่น้อยที่ยังเข้าใจเรื่อง Intangible Asset/Value ที่เกิดขึ้นในองค์กรแตกต่างกันมาก ทำให้การประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนและผลตอบแทนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขาดดุลยภาพที่ดีในกระบวนการจัดการโดยรวม นับเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการก้าวสู่การบริหารความเสี่ยงภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG-Corporate Governance) ที่ต้องปฏิบัติควบคู่กันไปกับ IT Governance อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึง Statement ใหม่ ทางด้านการบริหารการจัดการยุคใหม่ แต่ยังใช้หลักการเดิมคือ การกำกับดูแลกิจการที่ดี (Governance) การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) การปฏิบัติตามกฏหมาย กฎเกณฑ์ ฯ (Compliance) ที่เรียกชื่อย่อ ๆ ว่า GRC ในปัจจุบัน

การอธิบายในเรื่อง GRC ที่เป็นรายละเอียด ผู้เขียนจะได้กล่าวในตอนต่อ ๆ ไป

ในมุมมองทางด้านจรรยาบรรณและการบริหาร อาจพิจารณาได้ว่าการไม่นำ Intangible Asset และ Value ที่ยังไม่ตีค่าเป็น Asset หรือ Value มาคำนวณเป็นมูลค่าเพิ่ม หรือผลประโยชน์ที่ได้รับที่มีคุณค่ามากกว่า Tangible Assetในหลาย ๆ มุมมองตามหลักที่สูงกว่าร้อยละ 85 ของ Asset ขององค์กรที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นหลักในการบริหารงานและการจัดการ (Source : Balance Scorecard Collaborative Inc. & Roberts Kaplan) เป็นประเด็นสำคัญยิ่งในการพิจารณาความรู้ความสามารถ หรือจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง ที่ CEO, CFO และ CIO ควรมีโอกาสได้รับการพัฒนาความรู้ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง


บรรษัทภิบาล/การบริหารการจัดการที่ดีกับจริยธรรมองค์กร

มีนาคม 3, 2009

3. จริยธรรมและคุณธรรมของผู้บริหาร เจ้าหน้าที่และบุคลากรขององค์กร

จริยธรรม (Ethics) ในความหมายแคบ หมายถึง ความประพฤติเพื่อให้เกิดความงดงามแก่ผู้ปฏิบัติ และหมู่คณะของผู้ปฏิบัติ

จริยธรรม (Ethics) ในความหมายกว้าง หมายถึง การดำเนินชีวิต ความเป็นอยู่ การยังชีวิต การครองชีพ การใช้ชีวิต การเคลื่อนไหวของทุกชีวิต ทุกแง่ ทุกด้าน ทุกระดับ ทั้งทางการกระทำ การพูดและการสื่อสารทางความคิด ที่ครอบคลุมถึงตนเอง องค์กรและสังคมโดยรวม

คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สภาพที่ก่อให้เกิดทั้งที่เป็นคุณ ที่งดงามและที่มีความดี ดังนั้นคุณธรรมจึงเป็นองค์รวมของจริยธรรม
คุณธรรมนั้นต้องพิจารณาทั้ง 2 ส่วนคือ
– ส่วนที่เป็นข้อพึงละเว้น หรือห้ามไม่ให้ปฏิบัติ (ด้านลบ)
– ส่วนที่ส่งเสริมหรือกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติ (ด้านบวก)

ความซื่อสัตย์ หมายถึง ความสุจริต จริงใจ และเปิดเผยอย่างแท้จริงในการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับ องค์กร และทุกระดับของการบริหารและการปฏิบัติงาน

ประมวลจริยธรรมขององค์กร
ยึดถือกลุ่มผู้มีผลประโยชน์ร่วมให้ได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน โดยยึดถือ “ประโยชน์สุขของประชาชน” เป็นวัตถุประสงค์สูงสุด

จรรยาบรรณของคณะผู้บริหาร กรรมการ อนุกรรมการ และคณะทำงาน
ผู้บริหารขององค์กร เป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถในการบริหารงาน จึงควรต้องดำรงไว้ซึ่งจรรยาบรรณของคณะผู้บริหารองค์กร ที่ต้องถือปฏิบัติตามหลักการกำกับและบริหารงานที่ดีดังนี้
– ต้องบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้องค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนด
– ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ และข้อบังคับขององค์กร
– ต้องบริหารเพื่อผลประโยชน์ขององค์กรและพนักงาน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ตลอดจนรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรโดยรวม
– ต้องบริหารงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ฝักใฝ่การเมือง โดยวางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัด เพื่อผลประโยชน์ขององค์กรและพนักงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต
– ต้องพร้อมที่จะแสดงความเห็นของตนอย่างเป็นอิสระ
– ต้องไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการที่ตนเป็นผู้บริหาร รวมทั้งในกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับองค์กรที่ตนเป็นผู้บริหารอยู่ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
– ต้องบริหารงานด้วยความระมัดระวัง ไม่สร้างและไม่ก่อให้เกิดข้อผูกพันที่อาจขัดแย้งกับหน้าที่ของตนภายหลัง
– พึงบริหารงานทั้งมวล โดยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางผลประโยชน์ส่วนตนต่อผลประโยชน์ขององค์กร เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
– ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร
– ต้องไม่กระทำการใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการเข้าไปบริหารหรือจัดการใด ๆ หรือเอื้อประโยชน์ให้นิติบุคคลหรือให้บุคคลใด ๆ ไม่ว่าจะทำเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือของผู้อื่น
– ต้องอุทิศเวลาและทุ่มเทความสนใจที่เป็นประโยชน์และจำเป็นให้กับองค์กรอย่างเต็มที่
– ต้องมีความสามารถในศักยภาพแห่งตน มีความรู้ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงการดำเนินงานขององค์กร
– ต้องร่วมมือกับกลุ่มตรวจสอบใน ซึ่งทำหน้าที่ให้คำปรึกษาในด้านการควบคุมภายใน การบริหารความเสี่ยง และการกำกับดูแลกิจการขององค์กร
– ต้องพร้อมที่จะแสดงความเห็นของตนอย่างเป็นอิสระ

จรรยาบรรณของผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้าง
– ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ และระเบียบข้อบังคับขององค์กร และมติที่ประชุมของคณะผู้บริหาร
– ควรมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีกิริยามารยาทที่สุภาพเรียบร้อยต่อผู้ร่วมงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง
– ต้องประพฤติตนให้เหมาะสมกับที่เป็นพนักงานขององค์กรและต้องรักษาและเผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรให้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
– ต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบจากหน้าที่ความรับผิดชอบไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
– ต้องไม่ฝักใฝ่ในกลุ่มการเมือง และต้องวางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัด

Elements of CG & RM