itgthailand.com ย้าย host ใหม่

มีนาคม 3, 2011

สวัสดีครับ ทุกท่าน ผมต้องขออภัยในความไม่สะดวก หลังจากที่ http://www.itgthailand.com แห่งนี้ ไม่สามารถเข้าใช้งานได้หลายวัน เพราะมีปัญหาในเรื่องของ host ทำให้ทุกท่านไม่สามารถติดตามเนื้อหา สาระ ข่าวสารความเคลื่อนไหวจากทางเว็บได้ ผมจึงขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า ตอนนี้ http://www.itgthailand.com ได้ดำเนินการย้าย host ไปที่แห่งใหม่เรียบร้อย และสามารถใช้งานได้ตามปกติแล้วครับ โดยเราได้รับการเอื้อเฟื้อ และให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดีจาก ดร. ปริญญา หอมอเนก และคุณนิพนธ์ จาก เอซิส โปรเฟสชั่นแนล เซ็นเตอร์ (ACIS Professional Center) สถาบันที่ให้ความรู้ที่หลากหลายทางด้าน Information Security/Technology+++ ผมต้องขอขอบคุณทั้ง 2 ท่าน เป็นอย่างยิ่ง รวมถึงคุณกฤษณีย์ เกียรติไพบูลย์ แห่ง วินท์คอม เทคโนโลยี (Vintcom Technology) ที่คอยอำนวยความสะดวกแก่เราเสมอมา ทำให้ http://www.itgthailand.com นี้ยังคงสามารถดำเนินงานเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร และสาระประโยชน์ให้แก่สาธารณชนผู้สนใจทุกท่านได้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม เพื่อมิให้ทุกท่านพลาดการติดตามเนื้อหา สาระประโยชน์ จาก itgthailand ผมจะ update ข้อมูลควบคู่ไปกับ www.itgthailand.wordpress.com อย่างสม่ำเสมอ เพื่อรองรับหากเกิดกรณีที่ไม่สามารถใช้งาน itgthailand.com ได้

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม itgthailand ครับ


Portfolio View of Risk กับการบริหารความเสี่ยงเชิงบูรณาการ (8)

มกราคม 31, 2011

ในการพิจารณาความเสี่ยงเชิงบูรณาการยังเป็นเรื่องใหม่อยู่มาก ที่องค์กรต้องพิจารณาภาพรวมของความเสี่ยง (Portfolio View of Risk) ของทั้งองค์กร ซึ่งอาจเกี่ยวพันไปถึงความรับผิดชอบ หน้าที่ กระบวนการปฏิบัติงาน

การกำหนดช่วงเบี่ยงเบนจากระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ องค์กรควรพิจารณาแบบจำลองที่เหมาะสมสำหรับการกำหนดค่าเบี่ยงเบนความเสี่ยง เพื่อสะท้อนถึงช่วงเบี่ยงเบนที่ยังอยู่ในวิสัยที่องค์กรสามารถจัดการได้ โดยเฉพาะควรมีการวิเคราะห์เพิ่มเติม ในกรณีที่ปัจจัยเสี่ยงมากกว่า 1 ปัจจัยเสี่ยง เกิดขึ้นพร้อมกัน ดังนั้น ระดับความเสี่ยงสูงสุด และช่วงเบี่ยงเบนสูงสุดในภาพรวมขององค์กรยังอยู่ในวิสัยที่สามารถจัดการได้หรือไม่

Fin Corp Target


ข้อสังเกตในการกำหนดเป้าหมายร่วมกันในแต่ละหน่วยงาน เพื่อนำไปสู่การบริหารความเสี่ยง (7)

มกราคม 25, 2011

วันนี้เราคงยังพูดคุยกันต่อถึงข้อสังเกตในการประเมินผลการบริหารความเสี่ยง หลังจากที่ผมได้นำเสนอเป็นหัวข้อ ๆ ไป ซึ่งข้อสังเกตในการประเมินผลการบริหารความเสี่ยง ที่องค์กรต้องมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันในแต่ละหน่วยงาน เพื่อนำไปสู่การบริหารความเสี่ยงขององค์กรโดยรวมนั้น ควรมีการติดตามประเมินผลงานอย่างต่อเนื่อง โดยมีการถ่ายทอด (Deploy) เป้าหมายของตัวชี้วัดองค์กรลงสู่สายงานต่าง ๆ รวมถึงมีการถ่ายทอด Risk Appetite ระดับองค์กรลงสู่สายงานต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน ดังตัวอย่างจากแผนภาพด้านล่างนี้

Cascade

ในครั้งหน้า สำหรับข้อสังเกตในการประเมินผลความเสี่ยง ก็คงจะพูดถึงเรื่องของ Portfolio View of Risk กับการบริหารความเสี่ยงเชิงบูรณาการ โปรดติดตามกันต่อนะครับ


การให้ความสำคัญกับการกำหนด/ทบทวนเป้าหมายในเชิงผลผลิตและผลลัพธ์ (6)

มกราคม 10, 2011

ข้อสังเกตในการประเมินผลการบริหารความเสี่ยงองค์กรในด้านการกำหนด หรือทบทวนเป้าหมายเชิงผลผลิตและผลลัพธ์ ซึ่งองค์กรควรให้ความสำคัญกับการกำหนดหรือทบทวน เป้าหมายในเชิงผลผลิต และผลลัพธ์ที่ชัดเจน ในแผนบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศให้เหมาะสมกับทิศทางขององค์กร และควรมีการติดตามผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการวิเคราะห์ผลลัพธ์ของโครงการ เช่น ความพึงพอใจของประชาชนที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินโครงการต่าง ๆ และควรมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในแต่ละปีด้วย ดังแผนภาพด้านล่างนี้

การประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการ

ครั้งหน้าไปติดตามข้อสังเกตข้อสังเกตในการกำหนดเป้าหมายร่วมกันในแต่ละหน่วยงาน เพื่อนำไปสู่การบริหารความเสี่ยงกันครับ


การบริหารความเสี่ยงในมุมมองของการพิจารณาผลตอบแทน/ความดีความชอบ (5)

ธันวาคม 30, 2010

ข้อสังเกตในการประเมินผลการบริหารความเสี่ยงในมุมมองของการพิจารณาผลตอบแทน หรือความดีความชอบ ซึ่งองค์กรจะต้องเน้นความสำคัญของกระบวนการบริหารความเสี่ยง โดยถือเป็นส่วนสำคัญของการพิจารณผลตอบแทนหรือความดีความชอบ โดยในแต่ละสายงานที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงระดับองค์กร จะมีการถ่ายทอดตัวชี้วัดด้าน การบริหารความเสี่ยงลงสู่ระดับสายงาน

Photobucket

การเชื่อมโยงผลตอบแทนกับระดับความเสี่ยงที่สามารถลดลงได้ ในแต่ละปัจจัยเสี่ยงของแต่ละสายงานั้น ควรมีการกำหนดให้ชัดเจน และมีการประเมินผลด้านการบริหารความเสี่ยงที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดของสายงานนั้น ๆ โดยเฉพาะผลงานด้านการบริหารความเสี่ยงกับแรงจูงใจพิเศษ

Photobucket


การบริหารความเสี่ยงในมุมมองของการพิจารณาโครงการลงทุน (4)

ธันวาคม 19, 2010

ข้อสังเกตในการประเมินผลการบริหารความเสี่ยง ในด้านของการพิจารณาโครงการลงทุนนั้น ควรมีกระบวนการวิเคราะห์ความเสี่ยง มีการประเมินความเสี่ยง การจัดการความเสี่ยง และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รวมทั้งผลกระทบของโครงการลงทุนที่มีผลต่อเป้าหมายขององค์กร

กระบวนการบริหารความเสี่ยง ควรเป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่ผู้บริหารองค์กร ใช้ในการตัดสินใจถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการที่สำคัญ ๆ นอกเหนือจากเกณฑ์อื่นในการพิจารณาความเป็นไปได้ของโครงการ เช่น NPV, IRR, PB Period, ROI, Intangible Cost ฯลฯ ดังรูป

การบริหารความเสี่ยงในมุมมองของการพิจารณาการลงทุน

องค์กรควรแสดงให้เห็นถึง การมีกระบวนการสร้างความมั่นใจถึงความสมดุลระหว่างผลตอบแทนจากการลงทุน และการจัดการด้าน IT กับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น โดยมีการศึกษาผลตอบแทนด้านการลงทุนด้าน IT ในมุมของผลประโยชน์ ทั้งที่เป็นตัวเงินและมิใช่ตัวเงิน รวมถึงการพิจารณาในเชิงของการระบุความเสี่ยง การประเมินความรุนแรงและการบริหารความเสี่ยง

COSO model for technology controls

ครั้งหน้าไปติดตามการบริหารความเสี่ยงในมุมมองของการพิจารณาผลตอบแทน หรือความดีความชอบกันครับ


ความเข้าใจในเรื่อง Risk Map เพื่อยกระดับการบริหารความเสี่ยงขององค์กร (3)

ธันวาคม 12, 2010

ความเข้าใจในเรื่องของ Risk Map เพื่อหาความสัมพันธ์ของ Root Cause จากปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อปัจจัยอื่น ๆ ทั้งในระดับองค์กร เช่น Stratigic Risk – S, Operational Risk – O, Financial Risk/Reporting Risk – F, Compliance Risk – C ตามแนวทางของ COSO – ERM รวมถึง Root Cause จากความเสี่ยงที่มีผลกระทบในระดับขั้นตอน + กระบวนการ + กิจกรรม ของจุดอ่อนในแต่ละกรอบข้างต้น ที่เกี่ยวข้องและมีผลกระทบกับกรอบการควบคุมด้านอื่น ๆ ในทุกมุมมอง ทั้งด้าน IT และ Non – IT นั้น จะมีประโยชน์ต่อการบริหารความเสี่ยงเป็นอย่างมาก ถ้าผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าใจและควบคุมความเสี่ยงจากต้นเหตุที่แท้จริง ก็จะสามารถควบคุมความเสี่ยงที่มีผลต่อเนื่องจากความเสี่ยงที่มาจากต้นเหตุนั้นได้เป็นอย่างมาก และบางกรณีอาจได้ทั้งหมด +++

ลองพิจารณาและทำความเข้าใจในเกณฑ์การประเมิน Risk Map ของทาง Tris จะมีแนวทางบางประการดังนี้

1. การกำหนดสาเหตุของปัจจัยเสี่ยง และกำหนดระดับความรุนแรงของสาเหตุนั้น

2. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเสี่ยงในระดับองค์กร และความสัมพันธ์ของสาเหตุ (ต้นเหตุื –> ปลายเหตุ)

3. การวิเคราะห์ผลกระทบทั้งเชิงการเงิน และมิใช่เชิงการเงิน (กระทบมาก/น้อย) ระหว่าง
3.1. ปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยเสี่ยง
3.2. สาเหตุกับสาเหตุ
3.3. ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุ

4. การนำ Risk Map ไปใช้ในการกำหนดแผนการบริหารความเสี่ยง ทุกกิจกรรมในแผนบริหารความเสี่ยง จะต้องมีความสอดคล้องกับสาเหตุและจัดลำดับตามระดับความรุนแรงของสาเหตุ รวมถึงความสัมพันธ์อื่นที่มากระทบต่อสาเหตุนั้น

5. การสร้างความเข้าใจในเรื่อง Risk Map ให้กับบุคลากรในองค์กร และวาระการประชุมร่วมกันระหว่างผู้บริหาร ฝ่ายบริหารความเสี่ยง และ Risk Owner ทุกปัจจัยเสี่ยง

เมื่อเทียบกับเกณฑ์ประเมินที่หน่วยงานภาครัฐยังต้องปรับปรุง เพราะพิจารณาได้ว่าหน่วยงานนั้นยังไม่ผ่านเกณฑ์การบริหาร Risk Map เนื่องจากพิจารณาความเสี่ยงเพียงระดับเดียว โดยยังไม่พิจารณาความเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กันอย่างครบถ้วน ซึ่งพิจารณาได้ดังนี้

Layer - Special Viewpoints in IAF

1. หน่วยงาน/องค์กร ทำการกำหนดสาเหตุเพียง Layer เดียว ทั้ง ๆ ที่่บางสาเหตุสามารถแตกออกเป็น Layer ที่สองได้ และ/หรือไม่ได้กำหนดระดับความรุนแรงของสาเหตุ

Risk Map and Layer of Controls

2. หน่วยงาน/องค์กรนั้น สามารถอธิบายความสัมพันธ์ได้ แต่ไม่สามารถแสดงความสัมพันธ์ได้ครบถ้วน

3. หน่วยงาน/องค์กร ส่วนใหญ่จะวิเคราะห์ผลกระทบระหว่างปัจัยเสี่ยงและปัจจัยเสี่ยงได้ แต่มีบางหน่วยงานที่วิเคราะห์ผลกระทบระหว่างสาเหตุกับสาเหตุไม่ได้ รวมถึงไม่สามารถอธิบายได้ถึงผลกระทบที่ไม่ใช่เชิงการเงินได้อย่างชัดเจน

Mapping and Layer - Strategic Alignment between

4. หน่วยงาน/องค์กร มีการจัดทำแผนการบริหารความเสี่ยง เกิดก่อนการทำ Risk Map หรือกิจกรรมในแผนบริหารความเสี่ยง ไม่สอดคล้องกับการบริหารที่สาเหตุที่เกิดปัจจัยเสี่ยง

5. หน่วยงาน/องค์กรส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจและไม่มีส่วนร่วมในการจัดทำ Risk Map ขององค์กร

เกณฑ์การประเมิน Risk Map

นอกจากการอธิบาย Risk Map ตามแผนภาพข้างต้น ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงความเสี่ยงตามแนวทางของ COSO – ERM ที่ไม่ได้กล่าวถึงความเสี่ยงทางด้าน IT Risk ที่มีผลกระทบต่อ Business Process และ Business Objectives จึงขออธิบาย Risk Map ในรูปแบบของการ Mapping ระหว่าง CobiT และ COSO เพียงบางโดเมน รวมทั้งการนำเสนอ Risk Map ที่เกี่ยวข้องกับ Operational Risk ซึ่งอธิบายด้วยแผนภาพได้ดังนี้

Operation Risk and Mapping

CobiT and COSO Mapping

ผมได้เพิ่มเติมภาพต่าง ๆ เพื่อใช้อธิบายประกอบความเข้าใจในเรื่อง Risk Map ในระดับต่าง ๆ และเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่อง Layer of Risk and Controls เพื่อ Monitoring และ Auditing ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ได้

ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดพิจารณาแผนภาพและใช้ดุลยพินิจไปพร้อม ๆ กับการดูแผนภาพข้างต้น ซึ่งอธิบายได้ดีกว่าการใช้ถ้อยคำในแต่ละภาพได้อย่างมากมาย ข้อสำคัญก็คือ ท่านควรได้เข้าใจถึงคำจำกัดความ และความหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น Risk Map และ Layer of Risk and Controls เป็นต้น ท่านที่เห็นภาพและเข้าใจคำจำกัดความจะสามารถทำความเข้าใจที่จะนำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อยกระดับการบริหารความเสี่ยงในมุมมองต่าง ๆ เพื่อการจัดการที่ดีต่อไปอย่างได้ผลครับ


ข้อสังเกตจากการประเมินการบริหารความเสี่ยงของหน่วยงานภาครัฐ บางประการ ประจำปี 2552 (2)

พฤศจิกายน 29, 2010

จากการประเมินการบริหารการจัดการความเสี่ยงของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปี 2552 มีข้อสังเกตจากการรวบรวมของ บริษัทที่ปรึกษา/Tris บางประการ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงการยกระดับการบริหารความเสี่ยงในเชิงคุณภาพ โดยการทำความเข้าใจกับเกณฑ์ประเมิน Risk Map ในส่วนที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้

ประเด็นการให้คะแนนเชิงคุณภาพ
พิจารณาจากระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีสามารถป้องกันไม่ให้เกิด Incident โดยมีการสื่อสารให้บุคลากรในองค์กรรับทราบและมีมาตรการในการป้องกันไม่ให้ Incident เกิดขึ้นอีก ซึ่งมีแนวปฏิบัติัดังนี้

1. สายการรายงานและสายการบังคับบัญชีของระบบงานบริหารความเสี่ยง สามารถให้ผู้บริหารได้รับทราบและพิจารณาแก้ไขได้อย่างรวดเร็วหรือไม่

2. แผนบริหารความเสี่ยงได้ถูกปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไร

3. การวิเคราะห์ผลกระทบของ Incident ต่อระบบงานทุกระบบในองค์กร

ดังนั้น หากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผล หรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่สนใจจะยกระดับการบริหารความเสี่ยงในเชิงคุณภาพ ก็อาจพิจารณาปัจจัยข้างต้น โดยนำมาปรับปรุงใช้กับแผนการบริหารความเสี่ยงในปีต่อ ๆ ไปให้เหมาะสมยิ่งขึ้น


แนวการประเมินการให้คะแนนเชิงคุณภาพของการบริหารความเสี่ยง (1)

พฤศจิกายน 23, 2010

ทางการโดย สคร. กระทรวงการคลัง และที่ปรึกษา สคร. คือ Tris อาจจะประเมินคุณภาพการบริหารความเสี่ยง และอาจปรับลดคะแนนลงได้ โดยพิจารณาจากเกณฑ์ต่อไปนี้

1. ความครบถ้วนของปัจจัยเสี่ยง

– ความสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการประจำปี ตัวชี้วัดขององค์กร รวมถึง การวิเคราะห์ SWOT

– เทคนิค/วิธีการที่ รส. ใช้ในการค้นหาปัจจัยเสี่ยง

– Incident ที่เกิดขึ้นในระหว่างปี และ Incident ที่เกี่ยวข้องกับ Stakeholder ขององค์กร ได้นำมาวิเคราะห์ถึงผลกระทบต่อองค์กรหรือไม่

– รส. ควรวิเคราะห์ Impact ของ Stakeholder ที่มีต่อองค์กรประกอบในการค้นหาปัจจัยเสี่ยง

The Five Forces That Shape Industry Competition

การประเมินความเสี่ยงเชิงคุณภาพ

2. การประเมินความเสี่ยง และการจัดระดับความสำคัญ (Risk Assessment & Prioritize)

– เกณฑ์การประเมินในปี 53 หน่วยงาน/องค์กรมีการกำหนดเกณฑ์ระดับความรุนแรงแยกรายปัจจัยเสี่ยง และควรมีการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ดังนั้น ควรแสดงถึงการใช้ฐานข้อมูลของหน่วยงานมาใช้ในการกำหนดโอกาส/ผลกระทบ รวมถึงสามารถอธิบายได้ถึงระดับความรุนแรงในมุมมองต่าง ๆ ที่สามารถเทียบเคียงกันได้

– แนวคิดในการจัดลำดับความสำคัญ โดยเฉพาะ Compliance Risk

การประเมินความเสี่ยง และการจัดระดับความสำคัญ

อาจสรุปได้ว่า ประเด็นการประเมินเชิงคุณภาพ จะเน้นการประเมินการบริหารความเสี่ยง และการจัดระดับความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง ที่มีผลกระทบต่อเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กรนั้น โดยหลักการจะเกี่ยวข้องกับการบริหาร IT Risk และ Non – IT Risk อย่างผสมผสานและเป็นบูรณาการ ที่จะสัมพันธ์กับกรอบใหญ่ของการขับเคลื่อน Integrity – Driven Performance ตามแนวทางของ GRC เป็นสำคัญ


ค่าเงินบาทแข็งกับค่าเงินอ่อน สร้างประโยชน์อย่างไรให้กับประเทศ?

ตุลาคม 21, 2010

ผมไม่ได้วิเคราะห์ในหัวข้อนี้มานานพอสมควรนะครับ เพราะมีหัวข้ออื่น ๆ จะต้อง update ที่ผู้สนใจโทรศัพท์ขอมามากกว่า อย่างไรก็ดี ข่าวในเรื่องค่าเงินบาทแข็งกำลังเป็นข่าว hot-hit ตามสื่อแตกต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงข่าวทางโทรทัศน์ เมื่อ 14-15 ตุลาคม 2553 ซึ่งมีการออกความเห็นอย่างรุนแรงที่ผู้รับชม รับฟัง ที่บริโภคข่าว อาจสับสนและมีความเข้าใจที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก เพราะผู้ฟังมีการประกอบอาชีพที่หลากหลาย และมีพื้นฐานที่แตกต่างกันในภาพโดยรวมของสังคม

คงไม่มีอะไรผิด และคงไม่มีอะไรถูกทั้งหมด ในมุมมองของแต่ละกลุ่มของผู้ได้รับประโยชน์ในทางบวก หรือผู้ได้รับผลกระทบในทางลบ จากการที่เงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่า

ผมคงไม่พูดในลักษณะวิชาการ เพราะในมุมมองนี้มีผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลาย ได้ให้คำอธิบายตามสื่อต่าง ๆ มากมายไปแล้ว แต่ผมจะเล่าสู่กันฟังง่าย แบบพูดคุยกันภาษาชาวบ้าน ให้เข้าใจได้ง่าย ๆ โดยไม่อ้างทฤษฎีใด ๆ แต่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้

ผมขอเริ่มว่า ประเทศสิงคโปร์ ประเทศที่มีพลเมืองเพียง 4 ล้านเศษ ๆ ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ การเงิน การบริหาร การจัดการ และวิสัยทัศน์ในมุมมองต่าง ๆ ที่น่าจะเหนือกว่าประเทศไทยเรา เรื่องนี้เป็นความจริงครับ เพราะไม่ว่าจะประเมินเรื่องใด ๆ ในหัวข้อใด ๆ ที่องค์กรสากล สำรวจกัน ประเทศสิงคโปร์ก็จะอยู่ในระดับต้น ๆ ของโลกเสมอ

มีบางคนกล่าวว่า ประเทศสิงคโปร์เปรียบได้เหมือนกับกล้วยหอม ที่มีผิวพรรณเป็นชาวเอเชีย คือ ผิวเหลือง (เหมือนเปลือกกล้วย) แต่เนื้อในเป็นสีขาว เช่นเดียวกับฝรั่ง ที่มีผิวขาว ที่มีวิสัยทัศน์ ความคิด ความเชื่อ จากทัศนคติที่แตกต่างกันอย่างมากมาย ในกระบวนการบริหารและการจัดการในทุกรูปแบบ ทั้งในอดีตและปัจจุบันนั้น…

ท่านทราบไหมครับว่า ระหว่างที่ประเทศไทยกำลังโอดครวญเรื่องค่าเงินบาทแข็งนั้น ประเทศสิงคโปร์ และรัฐบาลสิงคโปร์ กำลังผลักดันและขับเคลื่อนในค่าเงินดอลล์ล่าสิงคโปร์แข็งขึ้น เพราะอัตราเงินเฟ้อของสิงคโปร์มีระดับที่สูงมาก ที่จะมีผลกระทบระยะยาวต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ตามหลักการบรรษัทภิบาล หรือ CG รวมทั้ง การแสดงความรับผิดและรับชอบ ตามหลักการ Accountability ซึ่งก็เป็นไปตามหลักการ CG เช่นกัน

นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่ององค์ประกอบต่าง ๆ ทื่เกี่ยวกับเรื่องบรรษัทภิบาล ซึ่งหากขยายความออกไปมากกว่านี้ ก็จะทำให้เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังง่าย ๆ กลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที

กลับมาเรื่องของค่าเงินแข็ง กับค่าเงินอ่อนกันดีกว่านะครับว่า อะไรที่เรืยกว่า ค่าเงินแข็ง และอะไรที่เรียกว่า ค่าเงินอ่อน

เมื่อปี 2540 ค่าเงินบาทของไทยเมื่อเทียบกับเงินดอล์ล่า สหรัฐ $ อยู่ที่ประมาณ 26 บาท : 1 $US แต่เมื่อถูกโจมตีจากค่าเงินบาทต่างชาติ เพราะเงินบาทในช่วงนั้นแข็งเกินไป อันเกิดจากสาเหตุหนึ่งก็คือ มีเงินตราต่างประเทศเข้ามามากในสถาบันการเงิน +++ ในขณะที่เศรษฐกิจและพื้นฐานทางการเงิน และสภาพแวดล้อมจากปัจจัยในการกู้เงิน และปล่อยสินเชื่อมีปัญหาด้านเสถียรภาพ และดุลยภาพในการจัดการในภาพโดยรวมครับ คงไม่ต้องกล่าวถึงเรื่อง นโยบาย Out – In และ In – Out +++ นะครับ เพราะจะทำให้เวียนหัวขึ้นไปอีก

สรุปในช่วงเวลานั้นประเทศไทยพ่ายแพ้ในการต่อสู้และรักษาค่าเงินบาท ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนในช่วงต่อมา จากเงินบาทแข็งที่ 26 บาท : 1 $US เป็นประมาณ 55 บาท : 1 $US ผลก็คือ สถาบันการเงินและผู้ที่เป็นหนี้เงินตราต่างประเทศในทุกกลุ่ม มีหนี้เพิ่มขึ้นทันที ไม่ต่ำกว่า 100% คือสมมุติว่า จากหนี้ 100 ล้านบาท กลายเป็นหนี้ มากกว่า 200 ล้านบาท เป็นต้น นั่นคือ จะต้องหาเงินบาทมามากขึ้นกว่าเท่าตัวที่จะต้องชำระหนี้ต่างประเทศในวงเงินเท่าเดิม

กล่าวในอีกนัยหนึ่ง หากเราต้องใช้ค่าเงินบาทมากขึ้นในการแลกเงิน 1 $US เราเรียกว่า เงินบาทอ่อน ที่ว่าอ่อนเพราะใช้เงินบาทมากขึ้นในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งในที่นี้เทียบกับ $US เป็นหลัก และในกรณีตรงข้าม ถ้าเราต้องใช้เงินบาทในการแลกเปลี่ยนน้อยกว่า 55 บาท เพื่อแลกกับ 1 $US ก็ถือว่าเป็นเงินบาทแข็งขึ้น

จาก ปี 2540 มาจนถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงจากแข็งเป็นอ่อน คือ 26 บาท แลกได้ 1 $US และค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลงจากอ่อนเป็นแข็ง เป็นประมาณ 31 บาท : 1 $US ในปัจจุบัน ก็ถือว่าเงินบาทแข็งขึ้นมากเกือบ 100% เช่นกัน เมื่อเทียบกับ ปี 2540

ผลที่ตามมาก็คือ คนที่เป็นหนี้เงินตราต่างประเทศที่ไม่ประกันค่าความเสี่ยงจากอัตราการแลกเปลี่ยนของเงินบาท ก็จะมีปัญหาเรื่องหนี้สินล้นพ้นตัว จนถึงขั้นล้มละลายในที่สุด ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากมายในปัจจุบัน+++

สำหรับผู้ที่ถือเงิน $US ในประเทศหรือต่างประเทศ สามารถแลกเงินบาทได้เพิ่มขึ้นมากเป็นตัวเท่าในช่วง ปี 2540 นั่นคือ 1$US ซึ่งเดิมแลกค่าได้ 26 บาท สามารถแลกเป็นเงินบาทได้มากกว่า 50 บาทเป็นต้น

แล้วท่านอยู่ในฐานะใด? ระหว่าง 2 สถานะล่ะครับ

ในช่วงปัจจุบันเงินบาทแข็งขึ้นมาก และมีโอกาสที่จะแข็งขึ้นต่อไปนั้น ข้อดีก็คือ เราสามารถสั่งซื้อสินค้า เช่น น้ำมัน จากต่างประเทศได้ในราคาถูก และตรงกันข้าม ถ้าค่าเงินบาทอ่อนตัว ค่าน้ำมันจะมีราคาแพงตามสัดส่วนเดียวกัน +++

เช่นเดียวกันนะครับที่จะกล่าวต่อไปว่า ผู้ส่งสินค้าออกได้รับผลกระทบกระเทือนจากเงินบาทแข็งค่า เพราะเงิน $US แลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง +++

สำหรับผู้ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกและเพื่อขายภายในประเทศ ที่มีวัตถุดิบจากต่างประเทศก็มีมุมมองในการอธิบายผสมผสานกัน ระหว่างผลดีและผลเสียจากเงินบาทอ่อนค่า และแข็งค่า +++

สำหรับชาวนา ซึ่งใช้ผลผลิตภายในประเทศล้วน ๆ 100% อาจจะถูกกดราคาข้าว เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งตัว เพราะผู้ส่งออกจะได้รับเงินบาทจากการขายข้าวน้อยลง ซึ่งจะเกิดวงจรในลักษณะงูกินหางกันต่อ ๆ ไป+++

สรุป เงินบาทแข็ง หรือเงินบาทอ่อน จะดีหรือไม่ดี จะขึ้นกับว่าท่านอยู่ในสถานะใดของดุลยภาพทางการเงิน และการจัดการที่มีผลกระทบต่อค่าเงินบาท ดังนั้น การจัดการที่ดีไม่ว่าในฐานะ Regulators และ Operators ก็คือ ความสามารถในการบริหารความเสี่ยง การควบคุมเหตุการณ์ และสถานการณ์ที่อาจจะเกิดจากปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อเป้าประสงค์ ของแต่ละท่านและของแต่ละองค์กร รวมทั้งของประเทศในภาพโดยรวม ที่ต้องอาศัยความเข้าใจ และสร้างดุลยภาพที่ดี เพื่อให้สามารถยืนอยู่ได้ท่ามกลางความผันผวนของค่าเงินบาท

ผมตั้งใจจะพูดแบบชาวบ้านให้ฟังง่าย ๆ แต่ตอนสุดท้ายรู้สึกว่าไม่ง่ายดังที่ตั้งใจนะครับ ทั้งนี้เพราะคำว่า ดุลยภาพ ซึ่งแปลว่าความยั่งยืนในมุมมองของ การกำกับดูแลกิจการที่ดีและการบริหารความเสี่ยง และการควบคุม รวมทั้งการจัดการที่ดีนั้น มีปัจจัยมากหลายที่ใช้ในการอธิบาย และเป็นที่แน่นอนว่า หากท่านอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ ท่านจะไม่ชอบเห็นเหตุการณ์ที่เงินบาทแข็งตัว ในกรณีที่ท่านเป็นผู้ส่งสินค้าออกที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก

หากท่านเป็นหนี้เงินตราต่างประเทศ จากการที่กู้มาเงินช่วงเงินบาทอ่อนตัว และท่านสามารถชำระหนี้ได้ในช่วงเงินบาทแข็งตัว เช่นช่วงเวลานี้ ท่านก็จะได้เปรียบ และมีประโยชน์จากการที่เงินบาทแข็งตัวนั้น+++

ขอให้ท่านผู้อ่านเปรียบเทียบกับประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีสภาพแวดล้อม และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินที่แตกต่างจากไทยเรา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่ต้องการผลักดันและขับเคลื่อนประเทศของตนให้มีค่าเงินที่แข็งขึ้น เพราะเงินเฟ้อมีอัตราที่สูง และจะมีผลกระทบต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาตนั่นเอง +++

สำหรับประเทศไทย เราจะเดินไปทิศทางไหนดีล่ะครับ ระหว่างค่าเงินบาทแข็งตัว หรือค่าเงินบาทอ่อนตัว ในมุมมองของทางการที่ต้องต่อสู้เพื่อรักษาค่าเงินบาทในช่วงเวลานั้น และต้องเจ็บตัว และมีปัญหามากมายตามมาจากค่าเงินบาทแข็งเป็นค่าเงินบาทอ่อน และกำลังจะกลับมีปัญหาใหม่ จากค่าเงินบาทอ่อนเป็นค่าเงินบาทแข็งอีกหรือครับ

ผมขอจบเพียงเท่านี้ดีกว่า เพราะยิ่งพูดชักดูไม่ง่ายแล้วครับ