กรณีมาบตาพุด กับการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ Compliance Risk ที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศ

มกราคม 14, 2010

ผมได้เขียนกรณีมาบตาพุดที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศอย่างร้ายแรงมาหลายครั้งแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะ ผมมีความเป็นห่วงและกังวลอย่างลึกซึ้งต่อผลที่ตามมาในระยะยาว ที่มองจากมุมมองของนักลงทุนนานาชาติ และในประเทศ ที่น่าจะมีการค้นหาต้นเหตุ (Root Cause) ของเหตุการณ์ที่นำมาสู่ความเสี่ยงที่มีการจัดการล่าช้า จนเป็นเหตุให้มีผลกระทบทางลบ และความเชื่อมั่นของประเทศครั้งสำคัญ ที่น่าจะนำไปใช้เป็นกรณีศึกษา หรือบทเรียน (Lesson – Learned) เพื่อใช้ป้องกันความเสี่ยง และจัดให้มีการควบคุมและการบริหารอย่างเหมาะสม ทั้งในระดับชาติ และในระดับองค์กรได้เป็นอย่างดี

ตามความเข้าใจของผม ภาครัฐที่เป็นผู้ควบคุมกฎเกณฑ์ และการปฏิบัติตามกฎหมาย และกติกาของสังคม โดยใช้กรอบรัฐธรรมนูญ ปี 2550 เป็นสำคัญนั้น ยังไม่มีหรือขาดผู้ที่รับผิดชอบในการติดตาม การปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ มาตราที่ 67 ว่าด้วยการจัดตั้งองค์การอิสระที่มีหน้าที่ศึกษาผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ (HIA) ผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ +++ จากการลงทุน…ทำให้โครงการการลงทุน 76 โครงการในระยะแรกถูกศาลปกครองสั่งระงับการดำเนินงาน ซึ่งต่อมาศาลฯได้ผ่อนผันให้ 15 โครงการ จึงเหลือโครงการที่มีปัญหาฯ 65 โครงการ ซึ่งหลายโครงการเป็นโครงการขนาดใหญ่ ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่งตามข่าวที่ผ่านมานั้น +++

เพื่อให้เกิดความกระชับตามวรรคก่อน ผมใคร่ขอสรุปว่า Root Cause หรือสาเหตุของผลกระทบที่ต้องการปรับปรุงก็คือ ทางการควรจัดตั้งหรือจัดให้มีองค์การอิสระ ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ฉบับที่ 67 (2) โดยเร็ว และจัดให้มีการดำเนินการตามระเบียบและวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมายลูก ซึ่งต้องจัดตั้งเป็น พรบ. เหตุการณ์กรณีมาบตาพุดก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น หรือมีปัญหาน้อยลง นี่คือการบริหารความเสี่ยงและการจัดการเชิงรุกที่มีศักยภาพ และสร้างคุณค่าเพิ่มในทุกมุมมองที่เกี่ยวข้อง และกับผู้มีผลประโยชน์ร่วมทุกฝ่าย รวมทั้งการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับนักลงทุนนานาชาติ และนักลงทุนในประเทศได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ผมขออธิบายเพิ่มเติมเพื่อสร้างความเข้าใจของการควบคุมความเสี่ยงจากต้นเหตุ หรือสาเหตุ ซึ่งจะได้ผลดีอย่างยิ่งต่อการบริหารและการจัดการ เพราะหากมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และผู้ที่เกี่ยวข้องจัดให้มีการควบคุมความเสี่ยงและการบริหารจัดการจากผลลัพธ์ (Out put / Out come) หรือกระบวนการดำเนินการ (Process) แทนการควบคุมที่ Root Cause การบริหารและการจัดการควบคุมความเสี่ยงจะได้ผลอย่างจำกัดมาก แผนภาพด้านล่างนี้ จะช่วยให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจถึงความแตกต่างที่มีนัยสำคัญยิ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น โดยขอให้ท่านพิจารณาว่า อะไรคือ Root Cause หรือ Cause อะไรคือ Effect หรือผลกระทบ ซึ่งเทียบได้กับ Out put / Out come เพื่อการควบคุมที่มีคุณภาพ ดังนี้ครับ

จากแผนภาพข้างต้น ถ้าเราไปควบคุมหรือแก้ไขที่ปลายเหตุ (จาก Effect) เช่น การเสียชื่อเสียง การขาดความเชื่อมั่น การลงทุนของประเทศไทยโดยรวม ++ ท่านจะไปควบคุมและแก้ไขอย่างไรที่จะได้ผลในระยะยาว และสามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนนานาชาติ และในประเทศได้ แต่ถ้าหากท่านเข้าใจว่า การแก้ไขที่ต้นเหตุ (Cause / Root Cause) เช่น การสร้างความเข้าใจและการให้ความสำคัญและจริงจังกับความเอาใจใส่ในการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ การหาความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง การจัดลำดับความสำคัญของแผนงานและโครงการที่ต้องดำเนินการ เช่น การจัดตั้งให้มีองค์การอิสระ ตามมาตรา 67(2) ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และดำเนินการและจัดให้มีวิธีการสนองตอบต่อกฎหมายหลักของชาติ

ซึ่งหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องกฎหมาย กฎเกณฑ์ เข้าใจเรื่องดังกล่าวดี +++ ก็น่าจะเป็นการป้องกันและควบคุมความเสี่ยงจากต้นเหตุที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศไทยโดยรวม ได้เป็นอย่างดี มิใช่เพียงผลกระทบต่อกรณีมาบตาพุดเท่านั้น

หลักการบริหารความเสี่ยงง่าย ๆ ก็คือ การพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ การระบุเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการ และจัดให้มีการควบคุมหรือดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยง ตามเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นให้อยู่ในระดับที่ประเทศและองค์กรยอมรับได้เป็นสำคัญ

กรณีมาบตาพุด เราวิเคราะห์เหตุการณ์หลังจากความเสียหายและผลกระทบในทางลบได้เกิดขึ้นมาแล้ว จึงเป็นการง่ายที่จะระบุถึงต้นเหตุ หรือสาเหตุ ซึ่งเป็นที่มาของปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ในกรณีที่ยังไม่มีปัญหาเกิดขึ้น การวิเคราะห์ความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายกว่ามาก เพราะต้องการความเข้าใจ หลักการบริหารความเสี่ยงแบบบูรณาการขององค์กร ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับความเสี่ยงในระดับชาติได้อย่างลงตัว

กรณีมาบตาพุด ถึงแม้จะเกิดขึ้นได้ไม่นาน ผลเสียหายที่เกิดขึ้นมาแล้วตามข่าวก็คือ การลงทุนโครงการ 10,000 ล้านบาทในการสร้างแผงพลังไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์ ของประเทศออสเตรเลีย ได้ย้ายจากประเทศไทยไปประเทศมาเลเซียเรียบร้อย+++ นับว่าเป็นการเสียโอกาสในการสร้างมูลค่าและตลาดแรงงานของชาติ และการเติบโตของ GDP ไปในระดับหนึ่ง โดยไม่รวมโครงการลงทุนต่าง ๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้น และยังอยู่ในแผนงานการลงทุนของนานาชาติที่ไม่อาจคาดคะเนได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย

กรณีมาบตาพุดนี้รัฐบาลได้เร่งตั้งองค์การอิสระเฉพาะกาล ให้ได้ใน 60 วัน เพื่อเร่งการปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 67 (2) ซึ่งหากดำเนินการได้ทันตามกำหนด และมีผลกระทบในทางลบจากการดำเนินงานขององค์การอิสระต่อทั้ง 65 โครงการในครั้งนี้แล้ว ก็น่าจะช่วยลดปัญหาต่าง ๆ จากความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนลงได้มาก หากทางรัฐบาลได้มีการประชาสัมพันธ์ และได้มีการชี้แจงเรื่องนี้อย่างชัดเจนให้กับผู้มีผลประโยชน์ร่วมได้เข้าใจอย่างกว้างขวางและเป็นรูปธรรม


รากแก้วแห่งความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยได้ถูกทำลายลงไปแล้ว!?!

มกราคม 7, 2010

สวัสดีปีใหม่ท่านผู้อ่านทุกท่านครับ ผมไม่ค่อยมีความสุขมากนักในช่วงปีใหม่นี้ มิใช่เพราะเรื่องส่วนตัว แต่เป็นเพราะเรื่องข่าวคราวความน่าเชื่อถือ ความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศ ทั้งในระดับประเทศ และระหว่างประเทศ ซึ่งน่าจะเกิดจาก Policy Risk + Regulatory Risk + Compliance Risk + Strategic Risk อันเกิดจากกรณีมาบตาพุด + การยกเลิกสัญญาหวยออนไลน์ + การสั่งรื้อสัญญาสัมปทาน BMCL และอื่น ๆ

ทั้ง ๆ ที่หน่วยงานผู้กำกับภาครัฐได้ลงนามหรืออนุมัติ จัดทำสัญญา ให้ก่อสร้าง ให้ดำเนินการตามข้อตกลงต่าง ๆ ไปแล้ว ในที่สุดก็มีการให้ระงับการก่อสร้างโครงการต่าง ๆ ที่มาบตาพุด ยกเลิกหวยออนไลน์ที่มีสัญญาให้ติดตั้งตู้ออนไลน์ 1.2 หมื่นตู้ หรือสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เพื่อหวังคุมค่าโดยสารจูงใจประชาชนให้ใช้บริการ ทั้ง ๆ ที่น่าจะพิจารณาเรื่องนี้ก่อนที่จะให้สัมปทาน โดยหน่วยงานของรัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องได้อ้างว่า การดำเนินการดังกล่าว รวมทั้งการแก้ไขสัญญาไม่กระทบกระเทือนต่อความเชื่อมั่นของเอกชนที่ลงทุนกับรัฐ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนวงเงินจ้างที่ปรึกษาอีกครั้ง ++++++

เหตุการณ์โดยสรุปข้างต้นตามเนื้อข่าวในสื่อต่าง ๆ นั้น มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ การเคารพกติกาและกฎเกณฑ์ของสังคม ตามหลักการบริหารและการจัดการที่ดี ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังเครดิตของประเทศ ที่ประเทศไทยของเราจะมีต้นทุนทางเศรษฐกิจ และการเงิน จากความไม่น่าเชื่อถือของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล สร้างความเสียเปรียบในการแข่งขันระดับชาติ และระดับองค์กร ที่เป็นตัวเงิน และไม่ใช่ตัวเงิน ทั้งในระยะสั้นและในระยะยาวอย่างประมาณค่าไม่ได้

ในหลักการของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งทางรัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ที่ประกอบไปด้วยหลักการบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน และการสร้างประสิทธิผลและประสิทธิภาพในมุมมองต่าง ๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้มีผลประโยชน์ร่วม หรือ Stakeholders เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระดับองค์กร และในระดับประเทศนั้น ไม่น่าเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพราะหากมีการนำหลักการบริหารความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ และพันธกิจของประเทศแล้ว สิ่งที่ทางการได้ดำเนินการมา น่าจะขัดแย้งอย่างรุนแรงกับหลักการบริหารความเสี่ยง ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจยอมรับได้ (Risk Appetite) ทั้งนี้อาจพิจารณาได้จาก การตัดสินใจใด ๆ ที่มองต่างมุมที่ต่างคาบเวลากัน หรือมองต่างมุมและตีความที่แตกต่างกัน จากหน่วยงานกำกับที่มีอิสระแตกต่างกันของภาครัฐ ก็มีผลแตกต่างกันในทางปฏิบัติอย่างมากมาย

หากหน่วยงานภาครัฐมีการบริหารความเสี่ยงภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น ภายใต้กรอบการบริหารความเสี่ยง และความเสียหายที่ยอมรับได้ หรือยอมรับไม่ได้ ในมุมมองต่าง ๆ จะต้องมีการพิสูจน์อย่างชัดเจน และมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ภายใต้ร่ม Corporate Governance – CG ที่มีผลต่อ Global Governance จากการดำเนินงานของภาครัฐที่เรียกว่า Public Governance และ Social Governance ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยงในมิติต่าง ๆ ตามที่ผมเคยได้กล่าวไปแล้ว และอาจจะนำมาทบทวนอีกในบางมุมมองในทางสร้างสรรค์ต่อไป

ผลที่ตามมาของกรณีข้างต้นที่ปรากฏเป็นข่าวตามมา ซึ่งแสดงถึงผลสะท้อนของการไม่ปฏิบัติตามกติกาของสังคม ทั้งในระดับสากล และในระดับประเทศ ก็คือ ข่าวจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับที่ 7777 วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม 2553 ที่กล่าวว่า “เจโทรรับต้นเหตุมาบตาพุด – จี้รัฐแก้ปัญหาภายใน 3 เดือน ญี่ปุ่นเมินลงทุนไทยชาติแรก” ตามมาด้วยข่าว “จีเทค” ขู่ฟ้องรัฐบาล 1.2 หมื่นล้าน กรณีรัฐบาลสั่งยกเลิกหวยออนไลน์ เป็นการตอกย้ำถึงความไม่น่าเชื่อถือของประเทศไทยในสายตาของสังคม ทั้งในและต่างประเทศ

ประเทศไทยจะหวังอะไร หากคนในชาติ และนานาชาติ ขาดความเชื่อมั่น หรือไม่เชื่อถือ ไม่ไว้วางใจในนโยบายของชาติ และการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ที่มีต่อกันแล้วเป็นลายลักษณ์อักษร +++

นอกเหนือจากเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือความไม่เรียบร้อยของบ้านเมือง ทั้งทางการเมือง การปกครอง และความมั่นคง ที่มีข่าวคราวน่าสงสัยในเรื่องมาตรฐานการดำเนินงานที่แตกต่างกัน +++ ซึ่งก็ส่งผลอย่างร้ายแรงต่อความเชื่อมั่น ตามหลักการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน การดำเนินการอย่างโปร่งใส +++ ตามหลักธรรมาภิบาล

ผลกระทบต่อความไม่เชื่อมั่นเพียงอย่างเดียว ก็จะนำมาซึ่งความล้มเหลวของประเทศในระยะยาวไปอีกนาน ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือไม่ก็ตาม ประเทศที่มีความเจริญและมั่งคั่งทางเศรษฐกิจจะต้องมีความมั่นคง และเสถียรภาพทางการเมือง ตัวอย่างเช่น ประเทศมาเลเซียใช้การเมืองนำเศรษฐกิจ เพราะหากการเมืองมั่นคงหรือนิ่ง ความเชื่อถือหรือเชื่อมั่นก็จะเกิดขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการดำเนินงานในภาพรวม

สำหรับกรณีของไทยเรา นอกเหนือจากความไม่มั่นคงทางการเมือง และความแตกแยกทางความคิด และการกระทำในรูปแบบต่าง ๆ ที่เห็นได้ชัดเจนแล้ว เรายังมีความไม่มั่นคงทางด้านความเชื่อถือ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการพัฒนาประเทศ เปรียบเสมือนหนึ่งรากแก้ว ซึ่งเป็นหลักของต้นไม้ใหญ่ได้ถูกทำลาย หรือเสียหายอย่างมากต่อการดำเนินงานที่เป็นไปตามกติกาของสังคม

ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า การให้น้ำหนักความสำคัญของความเชื่อถือระหว่างประเทศต่อประเทศไทย น่าจะมีความสำคัญและมีน้ำหนักมาก ในกระบวนการบริหารและการจัดการบริหารความเสี่ยง เพื่อสร้างดุลยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งทางการน่าจะเป็นผู้นำและปฏิบัติได้ดีในภาคปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม โดยนำกระบวนการบริหารความเสี่ยงตามหลักการของ COSO – ERM และหลักการของ GRC – Governance + Risk Management + Compliance ซึ่งเป็นการเน้น Integrity – Driven Performance มาขับเคลื่อนความน่าเชื่อถือ และเป็นตัวอย่างที่ดีในการบริหารความเสี่ยงตามกลไกที่รัฐบาลมีอยู่แล้วให้เป็นรูปธรรมต่อไป


มาบตาพุดมีความเสี่ยงสูงสุด และมีผลกระทบกระเทือนรุนแรงในระยะยาว ในระดับที่เกินกว่าประเทศยอมรับได้?

ธันวาคม 15, 2009

ผู้มีผลประโยชน์ร่วมหลายกลุ่ม มีผลกระทบหนักต่อกรณีศาลปกครองสูงสุด สั่งระงับ 65 โครงการมาบตาพุด ทั้งสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้าง และสมาคมธนาคารไทย โดยนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทยและประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า

ผลกระทบจากการระงับโครงการลงทุนในมาบตาพุดจะมีความรุนแรงในระยะยาว และเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอันดับหนึ่ง ที่มีผลกระทบในวงกว้างมากกว่าปัจจัยทางการเมืองในอนาคต โดยเฉพาะในปี 2553 ที่การลงทุนจะเป็นเครื่องจักรสำคัญในการฟื้นเศรษฐกิจ อาจอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมใช้งานมากนัก

ทั้งการลงทุนภาครัฐและเอกชนจะต้องลดลง ซึ่งการลงทุนภาครัฐที่เป็นการลงทุนขนาดใหญ่ ที่ต้องการทำการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ : EIA) หากโดนร้องเรียนก็อาจถูกชะลอได้ เป็นผลกระทบที่มีวงกว้างกว่าโครงการในมาบตาพุด หากว่าไม่รีบแก้ไขกฎระเบียบการลงทุนที่ชัดเจนได้ ตามที่เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันจันทร์ที่ 14 ธ.ค. 2552 และสื่อ อื่น ๆ ที่มีเนื้อหาแตกต่างกันนั้น

กรณีมาบตาพุด น่าจะมีคำถามที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับ GRC หรือการบริหารในลักษณะ Integrity – Driven Performance ในระดับประเทศเป็นอย่างยิ่งว่า การกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG – Governance) การบริหารความเสี่ยงแบบบูรณาการ (R – Risk Managment) เพื่อก้าวไปสู่วัตถุประสงค์ในเรื่องต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของรัฐบาลที่ต้องการความร่วมมือ และความเข้าใจของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจการเงิน และการลงทุนของประเทศ ซึ่งสามารถนำหลักการของ COSO – ERM มาใช้ได้นั้น

รัฐบาลมีความพร้อมและได้ใช้หลักการบริหารที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกนี้อย่างไรบ้าง และการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ กติกา สังคมของนานาชาติ และของประเทศ (C – Compliance) ที่ต้องมีมาตรฐานหรือ Best Practice เป็นกติกากำหนดให้มีการปฏิบัติ และเป็นที่ยอมรับกันได้ในสังคมทั่วโลกนั้น หน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งภาครัฐบาล มีความพร้อม มีความเข้าใจในเรื่องนี้เพียงใด มีการปฏิบัติในเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสมหรือไม่

จากปัญหาที่ผ่านมา ผมมีข้อสังเกตเบื้องต้นว่า เรื่อง GRC ในระดับรัฐบาล รวมทั้งหน่วยงานของรัฐบางหน่วย มีความเข้าใจในการบริหารและดำเนินการค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประสานงานข้ามหน่วยงานของภาครัฐ ในหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ดังนั้น กรณีของมาบตาพุดจึงเป็น กรณีศึกษา (Lesson – Learned) ที่น่าสนใจยิ่งว่า ภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพรวมของทางการ ขาดมุมมองในการกำหนดระดับความเสี่ยง และความเสียหายที่ประเทศจะยอมรับได้ (Risk Appetite / Risk Tolerance) ในแง่มุมต่าง ๆ ซึ่งหากพิจารณาตามหลักการขององค์ประกอบของการบริหารความเสี่ยงในระดับองค์กร ที่ประยุกต์ใช้ได้ดีกับระดับความเสี่ยงของประเทศ เพื่อกำหนดกรอบการบริหาร การควบคุม กระบวนการจัดการที่เหมาะสม เพื่อลดระดับความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ประเทศไทยยอมรับได้นั้น ยังไม่มีการดำเนินการกันอย่างเป็นรูปธรรมกัน

ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้มีผลประโยชน์ร่วมอื่น ๆ ที่มีผลกระทบทางลบ จากกรณีเหตุการณ์มาบตาพุด นอกเหนือจากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ก็ยังจะตามมาด้วย การขาดความเชื่อมั่นของประเทศไทย ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะรื้อฟื้นความเชื่อมั่นมาสู่นักลงทุน ที่จะมีผลกระทบติดตามมาอย่างมากมายได้อีกมาก เช่น หากนักลงทุน/กลุ่มผู้มีผลประโยชน์ร่วมต่าง ๆ ฟ้องร้องค่าเสียหายจากรัฐบาลไทย โอกาสที่ทางรัฐบาลจะต้องรับความเสียหายมีสูงมาก +++

อีกครั้งหนึ่งที่ผมอยากจะใคร่กล่าวถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม กรณีโรงไฟฟ้า อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ที่มีมลภาวะจากการผลิตกระแสไฟฟ้า ทางการก็ให้ กฟผ. แก้ไข แต่ไม่ได้หยุดการผลิตไฟฟ้าบริการประชาชน โดย กฟผ. ดำเนินการควบคู่กันไป ซึ่งในที่สุด กฟผ. ก็สามารถควบคุมมลภาวะจากการผลิตกระแสไฟฟ้า และก็สามารถดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้าต่อเนื่องได้จนถึงในปัจจุบัน

ส่วนตัวของผม ผมชอบกรณีการแก้ไขปัญหามลภาวะที่โรงไฟฟ้า อ.แม่เมาะ เป็นอย่างมากครับ และอดคิดไม่ได้ว่า กรณีมาบตาพุด น่าจะใช้เหตุการณ์และการดำเนินงานอย่างกรณีโรงไฟฟ้า อ.แม่เมาะ ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับกลุ่มผู้มีผลประโยชน์ร่วม กับทุก ๆ กลุ่ม

ท่านลองเปรียบเทียบดูซิครับว่า หากทางการหรือรัฐบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่มิใช่หน่วยงานหนึ่งหน่วยงานใดเท่านั้นที่จะรับผิดชอบในเรื่องนี้ สามารถกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือยอมรับไม่ได้ กรณีมาบตาพุด เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับ ที่เห็นภาพชัดเจนของกลุ่มผู้มีผลประโยชน์ร่วมทางด้านสิ่งแวดล้อม ดุลยภาพในการตัดสินใจควรจะอยู่ที่ใด และรัฐบาลควรจะมีหน่วยงานใดในการพิจารณา และดูแล ความเสียหายที่มีผลกระทบภาครัฐต่าง ๆ ทั้งที่เป็นความเสียหายทางการเงิน และมิใช่ทางการเงิน โดยกำหนดแนวทางการบริหารการจัดการที่เหมาะสมได้

ภาพด้านล่างต่อไปนี้ จะเป็นการอธิบายโดยใช้แผนภาพที่ผมเคยนำเสนอมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ท่านผู้อ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางการ/รัฐบาล ได้ประเมินตนเองของการบริหารที่มีความแตกต่างกันทางด้านความคิด และการปฏิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้

ประเทศไทยของเราและหรือองค์กรของท่าน อยู่ในหมายเลขใดของกระบวนการจัดการบริหารความเสี่ยง

จากภาพข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีมาบตาพุด ท่านลองเลือกข้อ ซึ่งแสดงทิศทางการบริหารการจัดการในระดับประเทศ ที่ต้องการผู้นำที่มีความเข้าใจในการชี้ทิศทาง โดยการแก้ไขปัญหาล่วงหน้าโดยใช้หลักการบริหารเชิงรุก หรือการบริหารความเสี่ยงที่เป็นระบบ และมีการกำกับการบูรณาการ และการสอดประสานงานกันในหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐกันเป็นอย่างดี มิใช่ให้หน่วยงานหนึ่ง ออกความเห็นว่า ให้ดำเนินการก่อสร้างได้ และมีหน่วยงานของรัฐอีกแห่งหนึ่งบอกว่า ให้หยุดสร้าง และอีกหน่วยงานหนึ่งมีความเห็นว่า +++?? และทำให้ผู้กำกับภาพใหญ่ คือ รัฐบาล งุนงงว่าจะจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร และทำไมเหตุการณ์เหล่านี้จึงเกิดขึ้นได้

คำตอบในข้อสังเกตข้างต้นก็คือ ภาครัฐและผู้กำกับในระดับสูง ที่ต้องการกำกับในลักษณะ Integrity – Driven Performance และในระดับประเทศยังคงต้องปรับปรุงกระบวนการบริหารและการจัดการเชิงรุก โดยมองเหตุการณ์ไปข้างหน้า หรือมองไปในอนาคตว่า เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ที่มีผลกระทบเชิงลบต่อวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ ทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ควรมีอะไรบ้าง และควรจะต้องจัดให้มีการควบคุมเช่นใด และควรจะมีการติดตามกำกับอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการบริหารในมุมมองของ GRC และการบริหารความเสี่ยงที่ใช้กรอบ COSO – ERM ทั้งสิ้น

ทำอย่างไร ประเทศไทยของเราจึงจะกำหนด Vision ในระดับประเทศ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไรในปัจจุบันนั้น และไม่ทราบว่ามีรัฐบาลใด มีการกำหนด Vision ของประเทศเป็นลายลักษณ์อักษร และสื่อสารให้คนไทยได้รับทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้รับทราบร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนพันธกิจไปสู่วิสัยทัศน์ที่ต้องการนั้นคืออะไร

ผมลองคิดเล่น ๆ นะครับว่า ถ้าเราจะกำหนด Vision ของประเทศ โดยมีข้อคิดที่นำไปสู่การปฏิบัติโดยใช้คำว่า … “ปลูกฝังสังคมไทยให้เป็นนักคิดอย่างสร้างสรรและนำไปปฏิบัติ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนได้” หรือ…

ผมทราบว่าประเทศเพื่อนบ้านของเราบางประเทศ มีขนาดเล็กกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำ ได้กำหนด Vision ของประเทศว่า “ปี ค.ศ. 2020 เราจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว” ท่านคิดว่ามีหมายความที่ตั้งเป้าประสงค์ของประเทศในระดับที่ท้าทาย ที่รัฐบาลและภาคเอกชนจำเป็นต้องร่วมกันกำหนดพันธกิจของประเทศ ในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อก้าวไปสู่วิสัยทัศน์ที่ท้าทายนั้นให้จงได้

สำหรับกรณีมาบตาพุดนี้ ท่านคิดว่า ประเทศไทยยังขาดองค์รวมของการบริหารและการจัดการแบบบูรณาการ ที่จะต้องเริ่มต้นด้วยความเข้าใจวิสัยทัศน์ และพันธกิจ และกระบวนการบริหารจัดการบริหารความเสี่ยง โดยกำหนดกลยุทธ์ และแผนงาน/โครงการที่สัมพันธ์กันกับพันธกิจและวิสัยทัศน์นั้น ซึ่งขณะนี้ประเทศเรายังขาดการกำหนดวิสัยทัศน์ระดับประเทศที่ชัดเจนหรือไม่ครับ?


ความรับผิดชอบของทางการไทยกับกรณีศาลปกครอบสูงสุดสั่งระงับโครงการมาบตาพุดต่อ

ธันวาคม 4, 2009

จนถึงวันนี้ ทุกท่านก็คงทราบแล้วนะครับว่า ศาลปกครองสูงสุดได้สั่งระงับโครงการมาบตาพุด ซึ่งมีผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ และต่อรายได้ที่หายไปประมาณ 130,000 ล้านบาทโดยประมาณ และอาจมีผลกระทบต่อ GDP ในปี 2553 โดยลดลงประมาณ 0.5% ตามที่เป็นข่าวและทราบกันโดยทั่วไปแล้วนั้น ได้สร้างความใจหายและความหวาดหวั่นต่อกลไกการลงทุน ตลอดจนแรงงานของชาติที่จะเข้าไปในตลาดแรงงาน และอื่น ๆ เป็นอย่างยิ่ง

คำถามต่อไปก็คือ กลุ่มผู้มีผลประโยชน์ร่วมอื่น ๆ ในสังคมไทยคิดอย่างไร? ต่อผลกระทบในครั้งนี้ จริงอยู่เราต้องเคารพการพิจารณาของศาล แต่การตัดสินครั้งนี้ได้ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนไปอย่างน่าใจหาย และตามมาด้วยข่าวระทึกขวัญต่อมาอีกว่า NGO จ้องที่จะฟ้องอีก 181 โครงการ บางส่วนของผู้มีผลประโยชน์ร่วม คือชาวมาบตาพุด ก็หลั่งน้ำตาด้วยความดีใจที่ศาลสั่งระงับ 65 โครงการ เพราะทำให้สุขภาพและสิ่งแวดล้อมอาจดีขึ้นได้

คำถามที่ต้องการคำตอบในระยะยาวก็คือ CSR – Corporate Social Responsibility กับความไว้วางใจระหว่างกลุ่ม Stakeholder ต่าง ๆ โดยเฉพาะนักลงทุน ผู้ให้กู้ยืมเงินที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ คำสั่งซื้อขายล่วงหน้าจากการที่ผู้ซื้อในต่างประเทศคาดหวังว่า จะดำเนินการได้เมื่อโครงการแล้วเสร็จ แต่ไม่อาจทำได้ ซึ่งยังมีการฟ้องร้องตามมาอีกมากมาย

ความเสียหายจากที่กล่าวข้างต้นจะมีใครเป็นผู้รับผิดชอบ หากท่านเป็นนักลงทุนไม่ว่าในหรือต่างประเทศ ได้รับการอนุมัติลงทุนและให้เริ่มสร้างโรงงานได้ โดยมีหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายได้ให้ความเห็นว่า ดำเนินการได้โดยไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งนักลงทุนก็ได้สร้างโครงการขึ้นมา หลาย ๆ แห่งก็เกือบจะเสร็จสิ้นลงแล้วนั้น อยู่ ๆ ก็มีหน่วยงานอีกหน่วยงานหนึ่งที่เป็นอิสระสั่งให้ระงับโครงการทั้งหมด โดยมีความเห็นที่ต่างมุมมองกัน แต่ก็มีผลอย่างร้ายแรงต่อการดำเนินการที่ได้ผ่านมาแล้ว

หากท่านเป็นนักลงทุน เป็นนักการเงิน เป็นนักกฎหมาย เป็นผู้กำกับที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม ท่านคิดอย่างไร? ถึงกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปัจจุบัน

การฟ้องร้องจากปัญหาที่เกิดขึ้นจะมีขึ้นแน่นอน และในที่สุด ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า ประเทศไทยจะได้รับความเสียหายเป็นอย่างยิ่งและเป็นอย่างมาก ซึ่งหากนำหลักการบริหารความเสี่ยงกับแนวทางของ COSO – ERM มาใช้ ก็น่าจะพิจารณาได้ว่าผลกระทบนั้นสูงเกินกว่าระดับที่ยอมรับ (Risk Appetite/Risk Tolerance) ได้เป็นแน่นอน

อีกครั้งหนึ่งที่ผมใครจะกล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยที่เกี่ยวข้องกับโครงการมาบตาพุดในครั้งนี้ ไม่เคยนำเรื่องผลกระทบที่เกิดขึ้นมาพิจารณาเป็นบรรทัดฐาน เนื่องจากหลักการบริหารความเสี่ยงของประเทศเชิงบูรณาการในภาพโดยรวมนั้น เข้าใจว่ายังมีกรอบจำกัดค่อนข้างมากในการนำมาใช้ในการกำหนดผลกระทบจากการบริหารที่ขาดการประสาน และบูรณาการ ในมุมมองต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ผมใคร่ขอออกความเห็นเป็นการส่วนตัวว่า ขณะนี้ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้วในมุมมองต่าง ๆ ไม่ว่าจะมองในมุมมองใดก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมุมมองของการบริหารแบบสอดประสานและบูรณาการ ตามหลัก GRC – Governance + Risk Management + Compliance ซึ่งเป็นกรอบการบริหารยุคใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในการนำมาบริหารและจัดการ เพื่อลดช่องว่างในเรื่อง Alignment and Integration ในระหว่างหน่วยงาน และข้ามหน่วยงาน ดังกรณีมาบตาพุดน่าจะเป็นบทเรียนที่ดีที่หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางรัฐบาล น่าจะพิจารณาหรือทบทวนไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

กรณีมาบตาพุดนี้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้ออกมาชี้แจงในเช้าวันนี้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกินกว่าอำนาจและหน้าที่ ไม่ว่าจะมองในมุม Responsibility และมองในมุมของ Accountability ตามหลัก CG และหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี รวมทั้ง ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับ Social and Environmental Awareness ซึ่งเป็นข้อหนึ่งของหลักการ CG นั้น ก็เป็นเรื่องที่เกินกว่าหน่วยงานนี้เพียงลำพังจะรับผิดชอบได้ และน่าจะมีลักษณะผลกระทบจากภายนอก ที่ควบคุมไม่ได้ เพราะเกิดจากการให้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของหน่วยงานรัฐแห่งอื่นว่า โครงการที่เป็นปัญหานี้สามารถดำเนินการได้ แต่เมื่อดำเนินการแล้วก็มีหน่วยงานของรัฐที่อิสระอีกแห่งหนึ่งบอกว่าทำไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ต้องเคารพในความคิดเห็นที่ต่างมุมมอง

อย่างไรก็ดี จากการชี้แจงโดยท่านรองผู้ว่าการ กนอ. ในเช้าวันนี้ ก็ทราบว่า ทางกนอ. จะมีกระบวนการที่จะเพิ่มมาตรการที่จำเป็นในการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งปกติทางหน่วยงานก็ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้มากเป็นพิเศษอยู่แล้ว และจากการประเมินความพึงพอใจด้านสภาพแวดล้อมกับชุมชนใกล้เคียงในปี 2552 ก่อนที่จะเกิดปัญหาการฟ้องร้องขึ้น ชุมชนใกล้เคียงกับมาบตาพุดก็ยังพึงพอใจการดูแลสภาพแวดล้อมที่ดีจากผลการประเมินที่ออกมา ในกรณีที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ไป การประเมินผลในเรื่องความพึงพอใจในสิ่งแวดล้อมก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพที่เกิดขึ้นจริง และตามทัศนคติของบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผลที่เกิดจากมาตรการการแก้ไขของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายมาตรา 67 วรรค 2 ต่อไปด้วย

แต่ความเป็นจริงก็คือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นที่มีผลกระทบอย่างรุนแรง กว้างขวาง ล้ำลึกที่เกี่ยวข้องกับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ที่จะเป็นปัญหาให้ต้องแก้ไขแทนที่จะนำหลักการบริหารความเสี่ยงตามหลักการของ COSO – ERM มาใช้ ซึ่งสามารถจะระบุเหตุการณ์หรือปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในต่างมุมมอง โดยกำหนดกรอบหรือระดับความเสียหายที่ยอมรับได้หรือไม่ได้ในมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องก็จะช่วยลดความเสี่ยง และสร้างความเชื่อถือได้เป็นอย่างมากต่อผู้มีผลประโยชน์ร่วมในกลุ่มต่าง ๆ จะต้องศึกษาจากบทเรียนครั้งนี้ในมุมมองต่าง ๆ เพื่อให้ได้การบริหารและการจัดการต่อผู้มีผลประโยชน์ร่วมในกลุ่มต่าง ๆ
อย่างได้ดุลยภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่องต่อกระบวนการลงทุนของชาตต่อไป

อย่างไรก็ดี ผมมีความเข้าใจว่า เรื่องนี้ร้ายแรงเกินกว่าที่ทางการยอมรับได้ ถึงแม้จะมีผลเสียหายไปแล้วก็ตาม ทางการก็คงจะมีโครงการ และมีโครงสร้างที่จะดำเนินการจัดการกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน และดูแลกลุ่มผู้มีผลประโยชน์ร่วมให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐาน 67 วรรค 2 ให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ซึ่งน่าจะทำได้ในที่สุด

หากมีโอกาสคงจะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในตอนต่อ ๆ ไปครับ


ทัศนคติที่แตกต่างกัน ถึงแม้จะได้ยิน และได้เห็นในเรื่องเดียวกันก็จะมีความเข้าใจและคำพูดที่แตกต่างกัน ซึ่งนำไปสู่ความแตกแยกของคนในองค์กร และของคนในชาติได้

พฤศจิกายน 14, 2009

ข่าวต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ทั้งภายในและประเทศเพื่อนบ้าน ที่ร้อนระอุอยู่ในขณะนี้ ทำให้ประเทศไทยในสายตาของคนต่างชาติ ขาดความน่าเชื่อถือในมุมมองต่าง ๆ เป็นอย่างยิ่ง และมีผลกระทบต่อความศรัทธา ต่อความเชื่อมั่น ต่อการลงทุน ต่อเศรษฐกิจการเงิน และการท่องเที่ยว จากความแตกแยก และความเห็นที่แตกต่างกันอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์

บางคนคิดที่จะเปลี่ยนโลก แต่ไม่มีใครเลยที่คิดจะเปลี่ยนตัวเอง ทั้งนี้เนื่องจาก ทัศนคติที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นเหตุสำคัญของการออกความคิดเห็น และการแสดงออกที่แตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งผมขอออกความเห็นส่วนตัวในลักษณะเชิงวิชาการ ที่มีลักษณะเป็นการวิเคราะห์ความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อม ในมุมมองของทัศนคติบางประการดังนี้ครับ

Picture1

จากภาพข้างต้น ท่านเห็นภาพนี้เป็นเช่นไร?
ท่านคิดว่ามีน้ำครึ่งแก้วหรือขาดครึ่งแก้ว
ทั้งนี้ขึ้นกับทัศนคติที่แตกต่างกัน และมุมมองที่แตกต่างกัน ขึ้นกับว่าท่านมีมุมมองเป็นบวก (Positive) หรือทางลบ (Negative)

หรือในอีกมุมมองหนึ่งคนที่มี POSITIVE THINKING เมื่อมีข้อผิดพลาด จะพูดว่า ฉันทำผิดเอง ส่วนคนที่มี NEGATIVE THINKING เมื่อมีข้อผิดพลาด จะพูดว่า ไม่ใช่ความผิดของฉัน

และเมื่อถึงคราวมีปัญหาเกิดขึ้น คนที่มี POSITIVE THINGKING จะเผชิญหน้ากับปัญหาและลงมือแก้ไขปัญหา ซึ่งต่างกับคนที่มี NEGATIVE THINGKING ซึ่งคอยจะทำในทางตรงข้าม และหลีกเลี่ยงปัญหานั้น

หรือในอีกตัวอย่างหนึ่งก็คือคนที่มีทัศนคติที่เป็นบวก จะพูดว่า “ฉันทำได้ดี แต่ยังไม่ดีเท่ากับที่ฉันต้องการ” ส่วนคนที่มีทัศนคติที่เป็นลบ จะพูดว่า “ยังมีคนอื่นอีกหลายคนที่มีผลงานแย่กว่าตัวเขา”

ทัศนคติของคนที่เป็นบวก จะเพียรตั้งใจฟัง แล้วทำความเข้าใจ และสามารถตอบสนองได้ ในส่วนคนที่มีทัศนคติเป็นลบก็จะรออย่างเดียว โดยไม่ฟัง ไม่ทำความเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด รอจนกว่าจะถึงคิวที่จะได้พูดเรื่องของตัวเอง

คนที่มีทัศนคติที่เป็นบวกมักจะยอมรับ นับถือคนที่มีความสามารถเหนือกว่า และจะเรียนรู้จากคนเหล่านั้น ส่วนคนที่มีทัศนคติเป็นลบจะทำในทางตรงข้าม และจะพยามายามหาข้อผิดพลาดของคนที่เหนือกว่าเขา

คนที่มีความรับผิดชอบ ไม่เพียงแต่งานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น แต่จะช่วยคิดให้องค์กรประสบความสำเร็จ นั่นเป็นพฤติกรรมของคนที่มีทัศนคติที่เป็นบวก ซึ่งในทางตรงข้ามคนที่มีทัศนคติที่เป็นลบก็จะไม่กล้าที่จะช่วยเหลือคนอื่น และมักจะพูดว่า ฉันไม่ว่าง กำลังทำงานของฉันอยู่

ในความคิดหรือมุมมองของคนที่มีทัศนคติบวก จะต้องมีวิธีที่จะทำให้ดีขึ้นได้เสมอ มากกว่าที่จะพูดว่า “นี่คือหนทางเดียวที่ทำได้” ที่เป็นมุมมองของคนที่มีทัศนคติในด้านลบ

ในความล้มเหลว มักมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ ทัศนคติที่เหมือนกัน
คนที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ มักมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ ทัศนคติที่เหมือนกัน
ผู้ยิ่งใหญ่ ต่างกับคนล้มเหลว เพียงอย่างเดียว คือ ทัศนคติที่ต่างกัน

ทัศนคติ ต่างกัน ทำให้เรามีมุมมองต่างกัน แม้เรามีดวงตา และมองเห็นเหมือน ๆ กัน
ทัศนคติ ต่างกัน ทำให้เรารับฟังไม่เหมือนกัน แม้เรามี ใบหู ที่คล้าย ๆ กัน
ทัศนคติ ต่างกัน ทำให้เรามีคำพูดไม่เหมือนกัน แม้เรามีปากแบบเดียวกัน
ทัศนคติ ต่างกัน ทำให้เรามีความรู้สึกไม่เหมือนกัน แม้เรามีหัวใจเหมือนกัน

ทำไมคนเราจึงมี ทัศนคติ ต่างกัน???
เพราะอายุ การศึกษา สังคม ประสบการณ์ เรามี 4 สิ่งที่แตกต่างกันทำให้เรามีทัศนคติที่ต่างกัน

ผมถามหน่อยนะครับว่า เมื่อเราเห็นเด็กซนเรา คิด อย่างไร?
ลองมาดูกันสิครับว่าแต่ละคนคิดอย่างไรกัน
ผู้หญิงคนหนึ่ง คิดว่า ทำไมเด็กคนนี้ ซนขนาดนี้
ในขณะที่หญิงชรากลับ คิดว่า พ่อแม่เขาอยู่ไหนนะ
ส่วนคนที่เป็นนางงามก็มักจะคิดว่า น่ารักจริง ๆ เด็กคนนี้
และหญิงคนที่สี่ คิดว่า เด็กซนก็คือเด็กฉลาด

มาดูอีกตัวอย่างหนึ่งครับ
เมื่อคนทำงานมี พฤติกรรม ต่างกัน จะเกิดอะไร
พนักงานคนที่หนึ่ง บ่นว่าเงินเดือนแค่นี้ ทำมันทุกอย่างเลย ใช้คุ้มจริง ๆ
พนักงานคนที่สอง กล่าวว่าเดือนนี้มาสายแค่ห้าครั้งเอง แล้วตอนบ่ายจะ chat กับใครดี
พนักงานคนที่สาม คิดว่าถ้าขอเจ้านายไปอบรมสัมมนา เพิ่มเติมความรู้ท่านจะอนุมัติมั้ยนะ
ส่วนพนักงานคนที่สี่ มองว่าเราต้องสร้างทีมขายของเราให้แข็งแกร่งกว่านี้

เมื่อคนเรามี ทัศนคติต่างกัน มีความคิดต่างกัน จะทำให้เกิดพฤติกรรมและการกระทำที่แตกต่างกัน และการกระทำที่ต่างกันนั้น ก็จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ต่างกันด้วย

ดังนั้น ความคิดเห็น และพฤติกรรมที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล หรือในแต่ละกลุ่ม รวมทั้งในแต่ละสี ที่มีเป้าหมายแตกต่างกัน จากทัศนคติที่แตกต่างกันนั้น จะทำให้ผลลัพธ์และความเห็น รวมทั้งคำพูด และการกระทำที่ออกไป แตกต่างกันอย่างสำคัญยิ่ง

Slide1

ท่านเห็นด้วยกับแนวความคิดข้างต้นไหม ที่อาจสรุปได้ว่า “ก่อนที่คิดจะเปลี่ยนอย่างอื่น ควรเปลี่ยน ทัศนคติ ของตนเองก่อน”

ทั้งนี้ ควรจะคิดและมีทัศนคติในลักษณะ Positive Thinking โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และสังคมไทยเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนเป็นสำคัญ

ส่วนจะทำได้แค่ไหนนั้น ก็คงขึ้นกับว่า ท่านเลือกที่จะคิดแบบใด ทำแบบใด และผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นแบบไหนก็สุดแล้วแต่ท่านเป็นผู้เลือก

สำหรับความเห็นส่วนตัวของผม เหตุการณ์และข่าวคราวที่น่าอึดอัดในปัจจุบัน ที่ทำให้ประเทศไทยด้อยศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่งนั้น น่าจะขึ้นอยู่กับการปรับปรุงทัศนคติให้เป็นบวกของคนในประเทศเป็นสำคัญ


ตา กับ ตีน กับความแตกแยกของคนในชาติ และจิตสำนึกของการบริหารเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ตามหลัก CG / GRC

ตุลาคม 24, 2009

ท่านผู้อ่านคงจะแปลกใจถึง หัวข้อของคำว่า ตา กับ ตีน ซึ่งเป็นบทกลอนที่ดีที่มีผู้แต่งขึ้น และผมขอนำมาอ้างถึงในครั้งนี้ เพื่อเป็นอุทธาหรณ์ของการบริหารและการจัดการแบบบูรณาการ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กรและประเทศชาติ ซึ่งเปรียบได้เสมือนหนึ่งร่างกายของมนุษย์ที่มีอวัยวะต่าง ๆ อันประกอบด้วย ตา กับ ตีน และอวัยวะอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ต่อมต่าง ๆ ไต ตับ หัวใจ หลอดเลือด สมอง ปอด ระบบประสาท กล้ามเนื้อ หู คอ จมูก ปาก ++ ประกอบกันเป็นร่างกายของมนุษย์ ที่อวัยวะทุกส่วนต่างก็ทำงานอย่างอิสระ แต่ต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดอย่างแนบแน่น และแยกกันไม่ได้กับอวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เพื่อให้เกิดดุลยภาพที่ดี เพื่อให้เป็นบุคคลที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ที่ต้องทำงานแบบผสมผสานและแยกกันไม่ได้ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าอวัยวะทุกส่วนเป็น Interdependency

อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายที่ต้องทำงานสัมพันธ์กัน

คำว่า Interdependency ได้ใช้เป็นหลักในการบริหารองค์กรในภาพรวมที่ทุกหน่วยงาน แม้จะทำงานเป็นอิสระ ภายใต้โครงสร้างขององค์กร แต่ก็ต้องมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด และมีลักษณะเป็นหนึ่งเดียว เพื่อความแข็งแรงในการบริหารการจัดการ ซึ่งเปรียบได้เสมือนหนึ่งการบริหารประเทศ ที่ประกอบด้วยหลายหน่วยงาน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเงิน ด้านความมั่นคง ด้านการบริหารการจัดการ หากเป็นภาพของรัฐ ก็น่าจะได้แก่ การบริหารผ่านกระบวนการทางรัฐสภา ทางศาล ทางการปกครอง ++ นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการบริหารแบบบูรณาการ ตามที่ผมได้แสดงเป็นแผนภาพไว้ในครั้งก่อนนี้แล้ว

วันนี้ ผมได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์บางฉบับ ที่กล่าวถึงว่า ทุนนอกจ่อทิ้งมาบตาพุด และวิกฤติมาบตาพุด ลามไปถึงธุรกิจพัฒนาที่ดิน นิคม-เขต-สวนอุตสาหกรรม ย้ำชัดล่อแหลมต่อการลงทุนใหม่ หวั่นปิดฉาก ปิโตรเคมี เหล็ก โรงกลั่นในอีสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งมีผลกระทบถึงทุนใหม่ หากยื้อนาน และมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นอย่างร้ายแรงของชาติ และมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลัก CG ของไทยอย่างชัดเจน

ซึ่งความสำคัญของการดูแลสิ่งแวดล้อมยังเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่การดูแลสังคมที่ประกอบด้วยกลุ่มต่าง ๆ ก็มีความสำคัญเช่นกัน ดังนั้น ดุลยภาพในการจัดการโดยรวม เป็นสิ่งที่รัฐจะต้องเป็นผู้นำในเรื่องนี้ และควรจะหาแนวทางจัดการอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะสายเกินไป

ตลอดจนข่าวที่ “ฮุน เซน” จะเชิญ “ทักษิณ” เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และบอกปัดส่งตัวกลับให้ไทย โดยอ้างสนธิสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่เขียนไว้ชัดว่าถ้าเป็นคดีการเมืองไม่ต้องส่งกลับ และระบุปกป้อง “ทักษิณ” ว่าไม่ได้แทรกแซงการเมืองไทย ซึ่งนาย “อภิสิทธิ์” เตือน “ฮุน เซน” ให้คิดให้รอบคอบเรื่อง “ทักษิณ” ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วอย่าไปเป็นเบี้ยหรือเหยื่อให้ใคร อย่าเอาความสัมพันธ์และผลประโยชน์ประชาชนไปแลกกับคนคนเดียว โดยในรายละเอียด ท่านผู้อ่านคงได้ทราบจากข่าวในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าใจหาย

ในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 และการประชุมสุดยอดอาเซียนกับ 6 ประเทศคู่เจรจาที่ชะอำ – หัวหิน ระหว่างวันที่ 23 – 25 ตุลาคม นี้ เป็นการประชุมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย ในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาคมโลก หลังจากที่เคยล้มเหลวมาแล้ว ในการเป็นเจ้าภาพการประชุมแบบเดียวกับที่พัทยา เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา อาจทำให้เกิดเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ของโลก ที่มีประชากรรวมกันถึง 3.2 พันล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของประชากรโลก และเชื่อว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนอันสำคัญ ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยก้าวหน้าไปด้วย

ประเด็นสำคัญก็คือ การเมืองของประเทศไทยต้องมีความมั่นคง รัฐบาลต้องมีเสถียรภาพ ความยุติธรรมจะต้องจัดสรร และจัดให้มีให้กับคนในสังคมทุกกลุ่ม ตามหลักการของการบริหารและการจัดการบ้านเมืองที่ดี ซึ่งคนไทยทุกคนและทุกฝ่าย จะต้องเชื่อถือและปฏิบัติตามกติกาของสังคม และมีการปฏิบัติโดยเท่าเทียมกัน โดยไม่เห็นแก่พวกพ้อง แต่จะต้องเห็นประโยชน์ของชาติ และยอมรับกติกาประชาธิปไตย ที่มาจากคนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่พิจารณาว่าเป็นหลักการสากล ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก

นายกมาร์คจับมือกับฮุนเซน

นอกจากนั้น ในปัจจุบันมีข่าวต่าง ๆ มากมายที่เกี่ยวข้องกับความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ ที่มีการบริหารงานแบบบูรณาการ ต้องยึดมั่นในกติกา กฎหมาย ข้อบังคับ ของสังคมในชาติ ก็มีข่าวแปลก ๆ ในเรื่องของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นข่าวไม่น่าสบายใจเกิดขึ้นในสังคมมาโดยตลอด ส่วนหนึ่งเกิดจากการรักพวกพ้อง ผสมผสานกับความรักในการปฏิบัติตามกติกาในสังคมที่ไม่ลงตัว และไม่ได้ดุลยภาพของคนในองค์กร ที่อาจจะมีตัวอย่างที่ไม่น่าปฏิบัติตามในหลายเรื่องของคนในชาติ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

หากเราไม่สนใจผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ก็คงไม่เดือนร้อนในผลกระทบที่ตามมาในอนาคต ผมจึงขอนำอุปมาและอุปมัย ซึ่งเป็นอุทธาหรณ์ที่ดีและเป็นเรื่องเตือนใจให้คนในสังคมได้ตระหนัก ถึงการปฏิบัติต่อชนชาติในสังคมที่เป็นธรรม ซึ่งจะเป็นที่มาอย่างสำคัญยิ่งของความสมัครสมานสามัคคีในชาติ โดยไม่ต้องให้ชาวต่างชาติมาวิจารณ์ในเรื่องความเป็นธรรม หรือความไม่ถูกต้องในการปฏิบัติในแง่มุมต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อสังคมในชาติ

ต่อไปนี้คือข้อเตือนใจเรื่อง ตา กับ ตีน ซึ่งขอให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูนะครับว่า อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายจำนวนมาก ซึ่งจะต้องทำงานด้วยกันเพื่อจะขับเคลื่อนร่างกายให้เป็นปกติ หากอวัยวะหนึ่งอวัยวะใดมีปัญหา อวัยวะอื่นก็จะมีปัญหาตามไปด้วย เพียงแค่ ตา กับ ตีน ในบริบทนี้ เพียง 2 อวัยวะ ก็พาให้ร่างกาย ซึ่งเปรียบเสมือนองค์กรหรือประเทศชาติ ต้องพินาศ ก็น่าจะช่วยเป็นเครื่องเตือนใจให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในการหาทางออกเพื่อความปรองดอง และเพื่อความอยู่รอดของสังคมในประเทศไทยนะครับ

อุปมา-อุปมัย / นิทานเรื่อง ตา กับ ตีน เพื่อสร้างความรัก ความสามัคคี เพื่อความอยู่รอดของสังคม และประเทศชาติโดยรวม

ท่านผู้อ่านครับ นิทานหรืออาจจะเรียกว่า อุปมา-อุปมัย เรื่อง ตา กับ ตีน ข้างต้น น่าจะเป็นอุทธาหรณ์สอนใจ ก่อให้เกิดจิตสำนึกของคนในสังคม และคนในชาติไทย ที่จะช่วยกันประคับประคอง สร้างความเข้าใจและความปรองดองในชาติให้เกิดขึ้นให้จงได้ มิฉะนั้น ประเทศไทยของเราคงจะถอยหลังไปอีกไกลแสนไกล

เนื่องจากการขาดความสามัคคีของคนในสังคม ในประเทศ และการเอาชนะซึ่งกันและกัน โดยพิจารณามุมมองและเป้าหมายของตนเอง และเป้าหมายของกลุ่มเป็นหลัก โดยไม่ได้พิจารณาความผิด หรือการกระทำที่ไม่ถูกต้องในมุมมองต่าง ๆ ที่กลุ่มหรือตนเองได้กระทำขึ้น แต่กลับมองในมุมมองที่จะเอาชนะซึ่งกันและกัน โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของชนในชาติ และกล่าวโทษความผิดกันไปมา และไม่รู้จักอภัยซึ่งกันและกัน จะทำให้ประเทศไทยขาดความเชื่อมั่น และความน่าเชื่อถือต่อคนสังคมในชาติ และสังคมระหว่างประเทศ อย่างอยากที่จะแก้ไข

จากนิทานเรื่อง ตา กับ ตีน ซึ่งเป็นอวัยวะเพียง 2 ส่วน และอาจเปรียบเทียบได้ว่าเป็น กลุ่ม 2 กลุ่มในสังคมที่มีความเห็นแตกต่างกัน ยังพาองค์กรและประเทศ ซึ่งเปรียบเสมือนร่างกายของเราเอง จนถึงความตายได้ตามบทเรียนข้างต้นนั้น ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูว่า ร่างกายของคนเรานั้น ประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ มากมายเพียงใด หากจับคู่ จับกลุ่มตีกัน โดยยึดมั่นเป้าหมายของตน แทนเป้าหมายของประเทศชาติ และสังคม จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยที่รักของเราครับ

ขณะที่เขียนเรื่องนี้ ก็ยังปรากฎข่าวทางทีวี กันครึกโครมว่า แหล่งข่าวต่างประเทศได้ตีพิมพ์ และออกข่าววิวาทะ ระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทย คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ในเรื่องเกี่ยวกับการให้ความเป็นธรรมและมุมมองที่แตกต่างกันของอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย คือ คุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเรื่องที่ลามปามข้ามชาติไปแล้วครับ

ผมคงไม่อาจพูดได้ว่า ใครผิดหรือใครถูก เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นมาถึงประเทศไทย และความเชื่อมั่นของประเทศไทยโดยรวมไปแล้ว ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า เราจะแก้ไขปัญหาความแตกแยกที่หยั่งลึกไปในสังคมของชาติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนได้อย่างไร และจะเริ่มโดยใคร ใครควรเป็นเจ้าภาพของงานใหญ่โตนี้ และควรจะมีจิตสำนึกถึงผลลัพธ์ที่ควรพิจารณาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง กันแบบใดดี…

ผมตั้งใจจะจบข้อเขียนเพียงวรรคสุดท้ายข้างต้นนั้น แต่เมื่อพิจารณาว่า หากจะออกความเห็นเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ก็น่าจะเป็นประโยชน์เพิ่มขึ้น จึงขอออกความเห็นเพิ่มเติมดังนี้

1. การแก้ไขปัญหา และการสร้างความปรองดองของชาติ ต้องเริ่มต้นที่เป้าประสงค์ โดยมีผลประโยชน์ของประเทศชาติ และสังคมโดยรวมเป็นสำคัญ และหลีกเลี่ยงอคติทั้งมวลที่มีอยู่ หลีกเลี่ยงการนำความเกลียด ความกลัว ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่พวกพ้อง ความอาฆาตมาดร้าย ความคิดในการแก้แค้น ++

2. ร่วมกันให้คำจำกัดความ หรือความหมายของคำว่า ผลประโยชน์ของชาติและสังคมโดยรวม เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ว่าหมายถึงอะไรกันแน่ ครอบคลุมและมีขอบเขตเพียงใด เพราะหากคำจำกัดความ หรือความหมายต่างกันแล้ว การดำเนินงานใด ๆ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติก็จะเบี่ยงเบนไปจากเป้าประสงค์หลักได้

เรื่องนี้มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับแนวความคิดทางด้านจริยธรรม และจรรยาบรรณ ซึ่งมาจากจิตสำนึกผิดชอบ หรือความคิดผิดถูกที่มาจากส่วนบุคคล และมาจากแนวความคิดของ Business Ethics ที่ใช้เป็นคำถามเพื่อหาคำตอบของการตัดสินใจว่า ผิดหรือถูก ดังต่อไปนี้

หากตกลงกันในเรื่องผลประโยชน์ของชาติ และหาคำจำกัดความที่ตรงกันไม่ได้ ในบรรดาผู้บริหารของประเทศที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กันในลักษณะที่มีเป้าประสงค์แตกต่างกันอย่างยิ่งนั้น การก้าวเดินเพื่อแก้ไขหรือจัดการกับปัญหา ความสามัคคีของคนในชาติก็คงเกิดขึ้นได้ยากนะครับ

คงจะจำได้นะครับว่า ผมเคยพูดถึงการกำหนดเป้าประสงค์ในระดับต่าง ๆ ต้องใช้หลัก SMART เป็นสำคัญ หากเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ไม่เป็นไปตามหลักการ SMART ก็จะทำให้กลยุทธ์และการดำเนินการต่าง ๆ ในการก้าวสู่วัตถุประสงค์เป็นไปไม่ได้..


มาบตาพุดกับการบริหารแบบบูรณาการ เพื่อผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย / Stakeholders

ตุลาคม 16, 2009

ท่านผู้อ่าน รู้สึกอึดอัดบ้างไหมครับ เกี่ยวกับกรณีมาบตาพุดและสิ่งแวดล้อม ที่มาจบลงด้วยการตัดสินของศาลปกครองให้ระงับชั่วคราว 76 โครงการที่กำลังก่อสร้าง และตามมาด้วยหน่วยงานที่รักษาผลประโยชน์และสิ่งแวดล้อม จะฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้ระงับโครงการต่าง ๆ ทั่วประเทศกว่า 500 โครงการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม !?!

หากท่านเป็นนักลงทุน หากท่านเป็นนักบริหาร หากท่านเป็นนักการเงิน หากท่านต้องการให้ลูกหลานมีงานทำ หากท่านเป็นผู้นำของประเทศ ที่ต้องการเห็นความเจริญเติบโตจากเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน การสร้าง GDP ของชาติ ให้เติบโตเพื่อรองรับแรงงานใหม่ ๆ เข้าไปสู่ในอุตสาหกรรมภาคบริการต่าง ๆ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่บ้างครับ?

ท่านคงเคยได้ยิน กรณีโรงงานไฟฟ้าที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง และมีมลพิษที่อาจเกินมาตรฐาน และก่อให้เกิดการต่อต้านของประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้น ในที่สุด กฟผ. ก็แก้ไขปัญหาเรื่องมลพิษได้เรียบร้อย จนเราไม่ได้ยินเสียงร้องเรียนเกี่ยวกับมลพิษที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

หากเราต้องปิดโรงไฟฟ้าที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง แทนการให้โอกาส กฟผ. / โรงไฟฟ้าได้ปรับปรุงแก้ไขปัญหามลพิษ อะไรจะเกิดขึ้นบ้างครับ?

ผมกำลังอยากจะพูดว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อม และการระงับ 76 โครงการที่ผ่านมา และกำลังจะมีการระงับอีกกว่า 500 โครงการที่ตามมาหรือไม่นั้น คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องผลกระทบต่อสังคม และประเทศชาติในภาพกว้าง และความเชื่อถือของคนต่างชาติต่อประเทศไทยโดยรวม เพียงแค่การสร้างความน่าเชื่อถือ ก็เป็นเรื่องต้องใช้เวลานานมาก ๆ นั้น เราก็ยังขาดผู้ดูแลการบริหารการจัดการ ในระดับชาติ ในภาพโดยรวมที่อาจเรียกว่า เป็นการบริหารแบบบูรณาการ ตามที่ผมได้เคยออกความเห็นไว้ในบทความนี้และบทความอื่น ๆ ไปพอสมควรแล้ว

ในขณะนี้ ในหลายองค์กรและประเทศไทยโดยรวม ก็ยังขาดเจ้าภาพในการบริหารภาพโดยรวม ทั้งในระดับองค์กร และการบริหารแบบบูรณาการของสังคม และประเทศชาติ ในหลายมุมมอง และในแต่ละมุมมองก็จะเกี่ยวข้องและมีผลกระทบซึ่งกันและกัน ตามหลักการของ Balance Scorecard ซึ่งมี 4 มุมมอง และตามหลักการของ GRC – Governance + Risk Management + Compliance ซึ่งเป็นแนวการบริหารในลักษณะบูรณาการที่ต่อยอดจากหลักการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร ที่สามารถประยุกต์ใช้ในระดับชาติได้ ใน 4 มุมมอง ก็คือ การบริหาร Strategic Risk, Operational Risk, Reporting and Financial Risk และ Compliance Risk

ประเทศของเราในปัจจุบันกำลังสับสน และวุ่นวาย กับสภาพแวดล้อม สภาพของความไม่เข้าใจของคนในสังคมเดียวกัน การขาดทิศทางการบริหารแบบบูรณาการ ซึ่งตัวอย่างกรณีมาบตาพุด เป็นตัวอย่างที่ดีที่อาจจะเรียกว่าเป็นบทเรียนอีกบทหนึ่ง ที่ยังขาดทิศทางที่ชัดเจนในปัจจุบัน

ถึงแม้ว่า จะมีการออกกฎหมายลูก เพื่อสร้างความชัดเจน และมีผู้ดูแลภาพโดยรวมของสิ่งแวดล้อมออกมาในระยะเวลาข้างหน้าก็ตาม หากผู้บริหารในองค์กรและผู้บริหารในระดับชาติและสังคมโดยรวม ยังมีความเข้าใจที่แตกต่างกันของการบริหารความเสี่ยงในระดับชาติ เพื่อก้าวไปสู่เป้าประสงค์หลัก ในการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับประชาชนในสังคมแล้ว เราก็คงเป็นประเทศที่จะถอยหลังในด้านการแข่งขันระหว่างชาติ และความเชื่อถือของสังคมระหว่างประเทศ ที่จะมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการกินดีอยู่ดีของคนในประเทศชาติ ที่เราควรจะได้มีการทบทวนกันในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเป็นผู้นำเรื่องนี้จากภาครัฐบาล


บทเรียนของการสั่งระงับ 76 โครงการลงทุนที่มาบตาพุด กับการพิจารณา ผู้มีผลประโยชน์ร่วม ระดับชาติ (Stakeholders)

ตุลาคม 10, 2009

จากกรณีที่ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวกับ 76 โครงการที่รัฐบาลจะดำเนินการที่มาบตาพุด ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาวีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะยื่นอุทธรณ์ในส่วนของโครงการที่ได้อนุญาตไปแล้วให้เดินต่อไปได้ ส่วนโครงการที่อยู่ในกระบวนการอนุมัติจะชะลอไว้ก่อน จนกว่าศาลจะมีความชัดเจน และอยากให้ศาลวินิจฉัยคดีทั้งหมดโดยเร็ว เพราะต้องการแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน

ในคำวินิจัยนี้ ศาลเห็นว่าบรรดาโครงการใด ๆ ก็ตามที่ต้องทำการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ศาลก็จะใช้มาตรการชั่วคราว เพื่อระงับโครงการเหล่านี้ไว้ เพื่อให้มีแนวทางที่ชัดเจนในการปฏิบัติตามมาตรา 67

แต่สิ่งที่รัฐบาลยืนยัน คือ รัฐบาลปฏิบัติตามมาตร 67 อยู่แล้ว และสิ่งที่เดินหน้าไปเป็นโครงการที่เห็นว่าไม่มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชน โดยอาศัยผลการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นเกณฑ์กำหนดว่า เรื่องไหนรุนแรงหรือไม่รุนแรง

รัฐบาลอยากได้ข้อยุติโดยเร็วว่า ความจริงแนวปฏิบัติเป็นอย่างไร เพราะถ้าไม่ได้ข้อยุติโดยเร็วจะเป็นปัญหาความไม่แน่นอน และมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน…ฯลฯ

ความคิด ความเข้าใจ ในการบริหารความเสี่ยงแบบบูรณาการ โดยคำนึงถึงสังคม และ Stakeholder ยิ่งกว่าการพิจารณาและตัดสินใจจากกลุ่มผู้มีผลประโยชน์เดียว เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ตามหลัก CG

กรณีข้างต้น ผมขอร่วมออกความคิดเห็นบางประการ ในมุมมองของ Stakeholders ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับผมเองขอให้ข้อสังเกต ในมุมมองของประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ที่อยู่ในสังคม และเกี่ยวข้องกับ Stakeholders ในมุมมองต่าง ๆ ดังนี้

หากผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พม.) รมว.อุตสาหกรรม รมว.พลังงาน รมว.คมนาคม รมว.สาธารณสุข และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน สมาคมสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครอง สิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรพัยากรธรรมชาติ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ. ระยอง และศาลปกครองกลาง และ….

ซึ่งเรียกรวม ๆ กันว่าเป็น Stakeholders หรือผู้มีผลประโยชน์ร่วม ของการก่อสร้างอุตสาหกรรม 76 โครงการ เป็นเงิน 4 แสนล้านบาท นั้น หากผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณาเพียงมุมมองของตนเอง (Individual Perspective) หรือเพียงมุมมองเดียว โดยไม่ได้พิจารณามุมมองอื่น ๆ ตามหลัก Corporate Governance หรือ CG และในมุมมองของส่วนรวม และสังคม

ทุกกลุ่มตามที่กล่าวข้างต้น ก็มีความมั่นใจในมุมมองของตนเองเป็นหลักว่า ถูกต้องแล้ว ปัญหาที่ตามมาของการระงับ 76 โครงการ เป็นเงินมหาศาลถึง 4 แสนล้าน ที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทั้งต่างประเทศและภายในประเทศ ความเสียหายจากการล่าช้าของโครงการ ผลกระทบที่ตามมาของการขาดความเชื่อมั่นของนักลงทุน และความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยโดยรวม +++ นั้น มีมากมายมหาศาล เกินกว่าที่จะคำนวนเป็นจำนวนเงิน เพียงที่เกิดขึ้นเฉพาะ 76 โครงการ 4 แสนล้านบาทได้

ทั้งนี้เพราะ ต้นทุนจากการวิเคราะห์และพิจารณาเพียงมุมมองเดียว โดยไม่คำนึงถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ในสังคม ที่มีกลุ่มของผู้มีผลประโยชน์ร่วมหลายกลุ่ม เช่น ผลกระทบต่อการสร้างรายได้ประชาชาติ ผลกระทบต่อการสร้างแรงงาน สร้างรายได้ ให้กับประชาชนในสังคมในอนาคต++ ซึ่งมีผลกระทบตามมาอย่างมากมาย ทั้งที่เป็นตัวเงิน และไม่เป็นตัวเงิน น่าจะมีมากมายมหาศาล และน่าจะเกินกว่าระดับความเสี่ยงที่ประเทศ หรือสังคมยอมรับก็ได้นะครับ

ความเสี่ยง และความเสียหายในระดับที่ประเทศชาติ และ/หรือองค์กรจะยอมรับได้นั้น เรียกกันในภาษาการบริหารความเสี่ยงว่า Risk Appetite และ Risk Tolerance ซึ่งผมได้อธิบายไว้ในหัวข้อที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับรูปภาพไปพอสมควรแล้วนะครับ

ผลประโยชน์ของประเทศชาติ และสังคม โดยรวม มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความสำคัญของการบริหารทุกระดับ ของกระบวนการจัดการ  ตามหลักการบริหารยุคใหม่ ที่ใช้หลัก GRC เป็นสำคัญ

ผมกำลังพยายามจะพูดว่า การบริหารความเสี่ยงเชิงรุก โดยการมองอนาคตขององค์กรและประเทศ ไปข้างหน้าอย่างเป็นระบบ และเป็นกระบวนการนั้น ต้องอาศัยความเข้าใจในหลักการของ COSO – Enterprise Risk Management ซึ่งเป็นกรอบการบริหารความเสี่ยง ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น Good หรือ Best Practice ที่นิยมเรียกกัน และนำไปปฏิบัติใช้กันทั่วโลก ในทุกระดับของการบริหาร และการจัดการ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน ความมั่นคงในระดับต่าง ๆ ทั้งด้าน IT และ Non – IT ซึ่งมีเรื่องที่ผู้บริหารควรจะทำความเข้าใจ และน่าจะนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารการจัดการระดับชาติ อย่างมีนัยสำคัญด้วย

ลองมาช่วยสรุปกันเร็ว ๆ นะครับว่า กรณีมาบตาพุด มีหน่วยงานต่าง ๆ และบุคลากรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ ตั้งแต่การฟ้องร้อง ไปจนถึง การระงับชั่วคราว มิให้มีการก่อสร้างเพิ่มเติม ทั้ง 76 โครงการ นั้น ได้พิจารณาในมุมมองของการบริหารความเสี่ยง แบบสอดประสานและบูรณาการ (Alignment and Integration Management) หรือไม่

หากผู้ที่เกี่ยวข้อง พิจารณาผลประโยชน์ของสังคม และผู้มีผลประโยชน์ร่วม ตามหลักการของ CG + ITG + GRC ซึ่งผมได้เคยอธิบายไว้ในหัวข้อต่าง ๆ ในเว็บนี้แล้วนั้น ก็จะพบว่า การพิจารณาของผู้ที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่เกิดขึ้น เท่าที่ผ่านมา มิใช่เฉพาะในกรณีมาบตาพุดนี้เท่านั้น ส่วนใหญ่จะพิจารณา ให้น้ำหนัก และตัดสินใจในมุมมอง ๆ เดียว เป็นสำคัญ โดยให้น้ำหนักและสนใจผลกระทบต่อผู้มีผลประโยชน์ร่วม หรือ Stakeholders หรือสังคม ทั้งภายนอกและภายในประเทศ ค่อนข้างน้อยมาก หรือบางกรณี แทบไม่พิจารณาในมุมมองของ Stakeholders ด้วยซ้ำไป

ผมมีภาพที่ได้ทำขึ้นในวันนี้ เพื่อใช้เป็นคำอธิบายแทนตัวอักษรหลายพันคำ เพียงเพื่อแสดงให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาว่า หากเราต้องพิจารณาผลประโยชน์ของสังคม ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ และทุกกลุ่มของผู้มีผลประโยชน์ร่วม แทนการพิจารณาเพียงมุมมองหนึ่งมุมมองใด หรือให้น้ำหนักมุมมองหนึ่งมุมมองใด อย่างไม่ได้ดุลยภาพเท่าที่ควร ผลที่เกิดต่อเป้าประสงค์ ระดับต่าง ๆ ของชาติ และสังคม จะเป็นเช่นใด

ความโปร่งใส และการปฎิบัติโดยเท่าเทียมกันของสังคม ในประเทศ จะนำไปสู่ความร่วมมือ ด้วยความเข้าใจ ด้วยความเต็มใจ เพื่อการขับเคลื่อนเป้าประสงค์ในระดับองค์กร และเป้าประสงค์ในระดับประเทศ

ความยุติธรรมที่สังคมในชาติ ต่างพากันเรียกร้อง ในกลุ่มผู้มีผลประโยชน์ร่วมต่าง ๆ จะเกิดขึ้นได้ยาก หากคนในสังคมนั้น ต่างพิจารณาผลประโยชน์ภายในกลุ่มของตนเองที่ต้องเป็นไปตามเป้าประสงค์ในกลุ่มของตนเท่านั้น โดยไม่พิจารณาถึงกลุ่มอื่น ๆ ที่มีมุมมอง และมีเป้าประสงค์ที่แตกต่างกัน

หากทุกคน หรือส่วนใหญ่ในสังคมขาดจิตสำนึก (Conscious) ที่แสดงถึงความรับผิดรับชอบภายในจิตใจของตนเอง จากจิตวิญญาณ (Spiritual) ที่มุ่งมั่น และคำนึงถึงผลประโยชน์ของสังคมในชาติ โดยรวม แนวการพิจารณาและตัดสินใจ ในเรื่องหนึ่งเรื่องใด ก็จะไม่พิจารณาเพียงมุมมองเดียวเป็นอันขาด เพราะการพิจารณาดังกล่าว จะนำไปสู่ความแตกแยกทางความคิด แตกแยกทางการกระทำ และนำไปสู่ความไม่เข้าใจกันของสังคมภายในชาติในที่สุด

องค์กรและประเทศชาติ ต้องการผู้รู้ที่เข้าใจการบริหารภาพแบบสอดประสานและบูรณาการ เพื่อผลประโยชน์ของสังคมและคนในประเทศชาติโดยรวม ดังนั้น ผู้บริหารในทุกองค์กร และผู้บริหารในระดับชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เกี่ยวข้องกับ การให้ความยุติธรรม การให้ความโปร่งใส การมีความรู้ มีศักยภาพ ในงานที่ตนทำ โดยการพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ การมีความรับผิดชอบ ในภาระหน้าที่ที่ตนเองดูแล ถึงแม้จะไม่ได้ปฏิบัติโดยตรง ก็คงต้องรับผิดชอบ (Accountability) ในผลของงานที่เกิดขึ้น

รวมทั้ง การมีจิตสำนึกที่ต้องการสร้างคุณค่าเพิ่ม โดยการบริหารกลยุทธ์ ในระดับองค์กรและระดับประเทศ เพื่อให้เกิด Long Term Value Creation ภายใต้หลักการปฏิบัติโดยเท่าเทียมกัน และภายใต้การดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ที่ได้ดุลยภาพและสัมพันธ์กับผู้มีผลประโยชน์ร่วมในสังคม

หากประเทศเราสามารถทำได้ในทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมจริง ๆ ประเทศไทยเราจะได้ประโยชน์โดยตรงจากความเชื่อมั่น เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเท่าเทียมกันและยอมรับได้ในที่สุดนะครับ

ข้อสำคัญก็คือ ผู้นำในระดับองค์กร และในระดับชาติ ควรมีความรู้ ความเข้าใจในหลักการของ GRC – Governance + Risk Management + Compliance ซึ่งพิจารณาว่าเป็น Integrity – Driven Performance ตามที่ได้กล่าวในหัวข้อต่าง ๆ มาแล้ว อย่างแท้จริง


ดุลยภาพหรือความพอดีในกระบวนการจัดการ หมายถึงความยั่งยืนตามหลักการของ Corporate Governance ที่ต้องการสร้างความเป็นธรรมในการจัดการกับบุคคลทุกฝ่าย

ตุลาคม 2, 2009

ครั้งที่แล้ว ผมได้พูดถึงดุลยภาพทางด้านนโยบายของผู้กำกับ หรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งใช้ในการควบคุม หรือกำหนดทิศทางในการดำเนินงานของหน่วยงานภายใต้สังกัด และได้ให้ข้อสังเกตว่า นโยบายที่รัฐหรือผู้กำกับกำหนดในหลาย ๆ ครั้งนั้น ไม่ได้ดุลยภาพ หรือความพอดี ในแนวทางการกำกับ ซึ่งอาจพิจารณาได้ว่า เป็นความไม่ตั้งใจ เพราะพิจารณามุมมองของนโยบายที่เน้นด้านหนึ่งด้านใดเป็นการเฉพาะ แต่ไม่ได้เน้นหรือพิจารณามุมมองอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเหมาะสมหรือความเพียงพอของการใช้ทรัพยากรในอนาคต

ในกรณีที่เกิดความเสียหาย ในระดับที่ไม่อาจยอมรับได้ ก็น่าจะแสดงว่า นโยบายนั้นไม่ชัดเจน หรือคลุมเครือ ทำให้ผู้ที่ปฏิบัติ รวมทั้งรัฐเสียหายได้ในที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็อาจพิจารณาได้ว่า ผู้กำกับหรือนโยบายที่รัฐหรือแม้กระทั่งหน่วยงานเอกชนได้ออกไปเพื่อกำหนดทิศทางในการดำเนินงานนั้น คณะกรรมการและผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจ ไม่ได้คำนึงถึงกระบวนการบริหารความเสี่ยง ตามหลักการของ COSO – Enterprise Risk Management (ERM) ซึ่งเป็นกรอบมาตรฐานหรือแนวการปฏิบัติที่ดี ในกรณีนี้ก็คือ การไม่ได้กำหนดระดับความเสี่ยงหรือความเสียหายที่ยอมรับได้ (Risk Appetite / Risk Tolerance) ซึ่งยังเป็นเรื่องใหม่อยู่มากสำหรับผู้นำในภาครัฐและภาคเอกชนในหลายหน่วยงาน

Enterprise Governance Drives IT Governance and GRC

การที่หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานความมั่นคง หน่วยงานของเอกชน ไม่ได้กำหนดระดับความเสี่ยง หรือระดับความเสียหายที่ยอมรับได้อย่างเป็นกระบวนการ แสดงได้ในเบื้องต้นว่า กระบวนการบริหารและการจัดการมีจดอ่อนอย่างมีนัยสำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับ Strategic Risk + Operational Risk + Reporting and Financial Risk และ Compliance Risk ซึ่งนำมาสู่การบริหารที่ด้อยประสิทธิภาพ และด้อยประสิทธิผลในกระบวนการดำเนินงานที่ถ่ายทอดมาเป็นแผนปฏิบัติ ในหน่วยงานปฏิบัติภาคสนามที่เกี่ยวข้อง

ผมจะมีตัวอย่างเรื่องราวเหล่านี้มากมาย ที่จะสะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนของผู้นำหรือผู้บริหารในระดับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ในวันนี้เพียงแต่จะขอพูดถึงเรื่อง การที่มีหน่วยงานกำกับได้มาแนะนำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย เปลี่ยนแปลงและลดการควบคุมหนี้จัดชั้น หรือหลักเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อที่จะก่อให้เกิด NPL ในอนาคต เพียงเพื่อให้ทางสถาบันการเงินลดภาระในการกันเงินสำรองตามหลักเกณ์ฑของ ธปท. ทั้ง ๆ ที่ไม่ช่วยให้คุณภาพของลูกหนี้ดีขึ้น แต่จะเป็นการหมกเม็ดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งในที่สุดแล้วก็เกิด NPL หากองค์ประกอบอื่นยังอยู่ในสภาพคงที่ต่อไปเหมือนเดิม

ข้อสำคัญในสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดูแลทางด้านความมั่นคงโดยรวมนั้น ก็อยู่ภายใต้กรอบการกำกับและแนวทางในการควบคุมสถาบันการเงิน โดยหน่วยงานกำกับสากลที่มีหลักเกณฑ์บังคับและใช้เป็นแนวทางที่จะให้ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติตาม เช่น การใช้แนวทาง Basel II เพื่อให้แน่ใจถึงคุณภาพการดำเนินงานของสถาบันการเงินในมุมมองต่าง ๆ ซึ่งไม่อาจกล่าวได้ทั้งหมดในที่นี้

IT Governance Focus on 5 Areas

ข้อความข้างต้นอาจจะไม่ถูกทั้งหมดนะครับ เพราะในหลาย ๆ กรณี ผู้กำกับก็รู้ดีถึงความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ส่วนจะอยู่ในอัตราที่ยอมรับได้หรือไม่นั้น (การกำหนด Risk Appetite) ยังไม่ต้องคำนึงถึงใน ณ ที่นี้ เพราะส่วนใหญ่ไม่มีการพิจารณา เนื่องจากเป็นจุดอ่อนหรือช่องเปิดของความเสียหายในกระบวนการจัดการ หรือกระบวนการกำกับของบางหน่วยงานอยู่แล้ว แต่เป็นเพียงกลยุทธ์พื้นฐาน เพื่อให้เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้บริหารของหน่วยงานที่ต้องปฏิบัติ หรือเป็นหน่วยงานที่เรียกว่าเป็น Operator ที่ต้องกำหนดแนวทางในการจัดการกับความเสี่ยงในรูปแบบต่าง ๆ ตามลำพัง

ดังนั้น ดุลยภาพของนโยบายและดุลยภาพในการควบคุมระดับต่าง ๆ ต้องการความเข้าใจจริง ของผู้นำและผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบ และภาระที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ที่ควรจะอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ นั่นคือ กระบวนการบริหารการจัดการที่ดี จะต้องมีการกำหนดระดับความเสี่ยงหรือความเสียหายที่ยอมรับได้ ตั้งแต่ระดับบนที่ถ่ายทอดลงมาถึงระดับปฏิบัติการ ที่เป็นรูปธรรม ปฏิบัติได้ ภายใต้กรอบและเป้าหมายที่กำหนดไว้ชัดเจนตามหลักของ SMART ตามที่ได้เคยกล่าวและอธิบายมาแล้ว