Good Corporate Governance – GCG กับสถาบันการเงินบางมุมมองของ ธปท. (ต่อ)

มีนาคม 12, 2009

เนื่องจาก ธปท. เป็นสถาบันหลักในการกำกับสถาบันการเงิน การกำกับของ ธปท. เพื่อให้แน่ใจอย่างสมเหตุสมผลว่า สถาบันการเงินต่าง ๆ จะมีการบริหารงาน ดำเนินการภายใต้กรอบการเติบโตอย่างยั่งยืนที่ยอมรับได้ ธปท. จึงมีบทบาทสูงมากในการกำหนดนโยบายและแนวทางการกำกับ ตลอดจนการติดตามการตรวจสอบ สถาบันการเงินต่าง ๆ อย่างเข้มงวด

วิกฤติการณ์เศรษฐกิจและการเงินของโลกในปัจจุบัน ซึ่งพิจารณาได้ว่ารุนแรงมากนั้น สถาบันการเงินในประเทศไทยได้รับผลกระทบกระเทือนน้อยมาก ทั้งนี้ อาจพิจารณาในมุมมองของความเข้มแข็งของการกำกับสถาบันการเงินของ ธปท. และการดำเนินงานที่มีคุณภาพของสถาบันการเงินต่าง ๆ โดยเฉลี่ยก็น่าจะเกิดจากสถาบันการเงินต่าง ๆ มี GCG ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น

วันนี้ ผมจึงขอนำร่าง เรื่องอำนาจหน้าที่ของกรรมการของสถาบันการเงินที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุด ที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมาภิบาลของสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นแนวทางการกำกับของ ธปท. และจะเป็นแนวทางปฏิบัติของคณะกรรมการ ผู้บริหารของสถาบันการเงินต่าง ๆ มานำเสนอในบางส่วนต่อไป ดังนี้

1. เหตุผล
สถาบันการเงินเป็นองค์กรที่มีความสำคัญต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม หากมีสถาบันการเงินใดที่ดำเนินงานในลักษณะที่ไม่เหมาะสม หรือมีฐานะทางการเงินอ่อนแอ ก็อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังความเชื่อมั่นและความมั่นคงของสถาบันการเงินทั้งระบบได้

นอกจากนี้ ภาวะปัจจุบันสถาบันการเงินมีการแข่งขันสูงขึ้น และธุรกรรมหลายประเภทมีความซับซ้อนและความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งสถาบันการเงินยังถูกคาดหวังจากผู้ถือหุ้น ลูกค้า และผู้มีส่วนได้เสียอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝากเงินก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน

ตำแหน่งกรรมการของสถาบันการเงินจึงมิได้มีความสำคัญในฐานะเพียงกรรมการขององค์กรแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นตำแหน่งที่มีส่วนรับผิดชอบในความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจและระบบสถาบันการเงินของประเทศอีกด้วย

ในการดำเนินกิจการของสถาบันการเงิน กรรมการจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต (Duty of loyalty) และระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของสถาบันการเงิน (Duty of care)

ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดหวังให้กรรมการของสถาบันการเงินมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจหลักของสถาบันการเงิน เพื่อให้การบริหารงานของสถาบันการเงินดำเนินไปอย่างมั่นคง กล่าวคือ
มีระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
มีเงินกองทุนที่เหมาะสมรองรับความมั่นคงของกิจการ
มีการกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของทางการ
ตลอดจนการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการที่มีธรรมาภิบาลที่ดี (Good Corporate Governance)
มีความโปร่งใสและให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
ติดตามดูแลให้ฝ่ายจัดการปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบนโยบายที่กำหนดไว้ เพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย (Stakeholders)

ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเห็นควรกำหนดอำนาจหน้าที่ของกรรมการของสถาบันการเงินในการบริหารจัดการสถาบันการเงินในเรื่องที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุด เพื่อให้สถาบันการเงินมีระบบบริหารจัดการและธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งในกรณีที่สถาบันการเงินกระทำผิดตามกฎหมาย กรรมการของสถาบันการเงินอาจต้องร่วมรับผิดด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้น

2. อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 84 แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของกรรมการของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุดให้กรรมการของสถาบันการเงินถือปฏิบัติโดยทั่วกัน

3. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศทุกธนาคาร บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ทุกแห่ง

4. เนื้อหา
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอำนาจหน้าที่ของกรรมการของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุด 4 ด้าน ดังนี้

4.1 ด้านการบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
กรรมการของสถาบันการเงินต้องมีความเข้าใจลักษณะของธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของสถาบันการเงินอย่างเพียงพอและเหมาะสม เพื่อที่จะสามารถจัดให้มีระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะปกป้องดูแลผลประโยชน์ของสถาบันการเงิน และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น กรรมการของสถาบันการเงินจึงมีหน้าที่ ดังนี้

4.1.1 ต้องกำหนดนโยบายและกลยุทธ์ในการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ และต้องให้แน่ใจว่ามีกระบวนการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Process) สำหรับความเสี่ยงที่สำคัญทุกประเภท เช่น ความเสี่ยงด้านเครดิต ความเสี่ยงด้านตลาด ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง เป็นต้น

4.1.2 ต้องดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าสถาบันการเงินมีกระบวนการในการบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุม ครบถ้วน อย่างน้อยดังต่อไปนี้

(1) กำหนดขั้นตอนการบริหารความเสี่ยง ได้แก่ การระบุความเสี่ยง (Risk Identification) การวัดความเสี่ยง (Risk Measurement) การควบคุมและลดความเสี่ยง (Risk Mitigation and Control) และการติดตามความเสี่ยงและการรายงาน (Risk Monitoring and Reporting) ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงด้านต่าง ๆ

(2) กำหนดเพดานความเสี่ยงที่เพียงพอ ให้เหมาะสมกับปริมาณ ความซับซ้อนและประเภทของธุรกรรมของสถาบันการเงิน ครอบคลุมความเสี่ยงต่าง ๆ ที่สำคัญอย่างครบถ้วน

4.1.3 ติดตามดูแลและประเมินความครบถ้วน ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการปฏิบัติงานตามนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่กำหนดไว้อย่างใกล้ชิด

4.1.4 ทบทวนนโยบาย ขั้นตอนการบริหารความเสี่ยงและเพดานความเสี่ยงให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เป้าหมาย ความสามารถโดยรวมขององค์กร และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

4.1.5 ต้องให้ความสนใจเรื่องความเสี่ยงด้านสินเชื่อ ในประเด็นต่อไปนี้

(1) มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสินเชื่อ กำกับดูแลการให้สินเชื่อและการลงทุนเป็นไปอย่างถูกทำนองคลองธรรม มีกระบวนการพิจารณาโอกาสที่จะได้รับชำระคืนอย่างจริงจังครบถ้วน โดยครอบคลุมถึงความเสี่ยงทุกด้านที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อและการลงทุนนั้น และมีกระบวนการติดตามดูแลสินเชื่อและการลงุทนนั้นอย่างต่อเนื่อง

(2) ต้องดูแลไม่ให้เกิดการกระจุกตัวของความเสี่ยงด้านสินเชื่อและการลงทุน โดยกำหนดจำนวนสูงสุดที่จะอนุญาตให้กู้และลงทุนแก่ลูกค้ารายหนึ่ง ๆ และกลุ่มหนึ่ง ๆ ซึ่งอาจรวมถึงจำนวนสูงสุดสำหรับผู้กู้หลายรายที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย (Industry limit)

(3) พึงเอาใจใส่เป็นพิเศษในการให้สินเชื่อแก่กิจการที่เกี่ยวข้องกับกรรมการ ผู้บริหาร หรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เพื่อป้องกันการเอื้อประโยชน์ที่ไม่เหมาะสม และการมองข้ามความเสี่ยงที่ไม่สมควร

(4) ต้องกำหนดนโยบายและกระบวนการจัดการปัญหาที่เพียงพอสำหรับกรณีสินเชื่อหรือการลงทุนที่มีปัญหา และต้องดูแลให้มีการตั้งสำรองหนี้สูญให้พอเพียงกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

4.1.6 อนุมัตินโยบาย แผนงานในการทำธุรกรรมทางการเงินใหม่ ๆ โดยครอบคลุมถึงวัตถุประสงค์และขั้นตอนในการประกอบธุรกรรม และปัจจัยความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสถาบันการเงิน รวมทั้งต้องพิจารณาประเด็นด้านกฎหมาย บัญชี และภาษีที่เกี่ยวข้อง

4.1.7 ต้องกำหนดให้มีระบบควบคุมภายในและการตรวจสอบภายใน ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการปฏิบัติงาน ให้มีความชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร โดยกำหนดโครงสร้างและขั้นตอนการควบคุมอย่างละเอียดในทุกระดับชั้นขององค์กร ตลอดจนติดตาดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมภายใน และมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ

4.1.8 จัดให้มีการแบ่งแยกหน้าที่ในการปฏิบัติงานของพนักงานให้ชัดเจน (Segregation of Duties) เพื่อให้มีการตรวจสอบถ่วงดุล (Check and Balance) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ทำธุรกรรม (Front Office) ผู้ดูแลความเสี่ยง (Middle Office) และผู้ทำงานด้านปฏิบัติการ (Back Office) มิให้เกิดการซ้ำซ้อนหรือคาบเกี่ยวกัน หรือเปิดโอกาสให้สามารถกระทำการเพื่อประโยชน์ส่วนตน และอาจเกิดปัญหาความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest)

4.2. ด้านการดูแลความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy)เงินกองทุนเป็นสิ่งที่แสดงฐานะของสถาบันการเงิน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น คุณภาพสินเชื่อ โครงสร้างของสินทรัพย์เสี่ยง ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย การเติบโตของกิจการและผลการดำเนินงาน กรรมการของสถาบันการเงินจึงมีหน้าที่ ดังนี้

4.2.1 ดูแลความเพียงพอของเงินกองทุน โดยการติดตามฐานะเงินกองทุนของสถาบันการเงินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกำกับดูแลให้สถาบันการเงินสามารถดำรงเงินกองทุนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และเพียงพอรองรับการดำเนินธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต

4.2.2 ดำเนินการให้มีการกำหนดกระบวนการหรือเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อใช้ดูแลความเพียงพอของเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่มั่นคง สามารถรองรับความเสี่ยงที่สถาบันการเงินมีอยู่และสอดคล้องกับการบริหารความเสี่ยงและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงิน โดยอย่างน้อยต้องจัดให้มีการดำเนินการดังกล่าวภายใต้กรอบกระบวนการประเมินความเพียงพอของเงินกองทุน (Internal Capital Adequacy Assessment Process : ICAAP) ให้มีความเหมาะสมกับปริมาณ ความซับซ้อน และประเภทของธุรกรรมของสถาบันการเงิน โดยครอบคลุมความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญทุกด้านที่จะมีผลกระทบต่อเงินกองทุน ฐานะ และผลการดำเนินงาน สถาบันการเงินต้องให้ความสำคัญใน 2 เรื่อง ดังนี้

(1) การทดสอบภาวะวิกฤติ (Stress Test) ต้องพิจารณาถึงเหตุการณ์วิกฤติที่อาจเกิดขึ้นได้หรือการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบด้านลบอย่างรุนแรงต่อเงินกองทุน และประเมินความสามารถของสถาบันการเงินที่จะอยู่รอดภายใต้ภาวะการเปลี่ยนแปลงนั้น เช่น ภาวะเศรษฐกิจหรือภาวะอุตสาหกรรมที่ตกต่ำ ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน และปัญหาสภาพคล่องในระบบการเงิน เป็นต้น

(2) การวางแผนเงินกองทุน (Capital Planning) การประมาณการระดับเงินกองทุนให้สามารถรองรับการขยายตัวทางธุรกิจของสถาบันการเงิน ซึ่งทำให้มีสินทรัพย์เสี่ยงและปัจจัยความเสี่ยงอื่น ๆ เพิ่มขึ้น และอาจมีผลกระทบต่อเงินกองทุน นอกจากนี้ ต้องวางแผนในการเพิ่มทุนให้เพียงพอและสอดคล้องกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินด้วย

4.3 ด้านการกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของทางการ (Compliance Roles)สถาบันการเงินอยู่ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย กฎและระเบียบ ข้อบังคับมาตรฐาน และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ของทางการ และจะต้องจัดทำรายงานต่าง ๆ เสนอต่อหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแล กรรมการจึงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการดำเนินงาน ดังนี้

4.3.1 จัดให้มีระบบควบคุมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าสถาบันการเงินได้ดำเนินการไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย กฎและระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ รวมทั้งคำสั่งการของธนาคารแห่งประเทศไทย ฯลฯ โดยที่ระบบควบคุมดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือช่วยชี้ให้เห็นการปฏิบัติ ฝ่าฝืนกฎหมาย หรือกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ หรือข้อผิดพลาดต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

4.3.2 กำหนดให้ฝ่ายจัดการเปิดเผยข้อมูลในเรื่องสำคัญ ๆ อย่างครบถ้วน ถูกต้อง เพียงพอ ทันต่อเหตุการณ์ เช่น การเปิดเผยข้อมูลของรายการที่อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) การเปิดเผยผลประโยชน์และค่าตอบแทนที่กรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือผู้บริหารอื่น ๆ ที่ไม่เป็นกรรมการได้รับจากสถาบันการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลการเป็นกรรมการในบริษัทอื่น เป็นต้น

4.4 ด้านการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการที่มีธรรมาภิบาลที่ดี (Good Corporate Governance)คณะกรรมการของสถาบันการเงินมีอำนาจและหน้าที่ในการกำกับดูแลสถาบันการเงินในอันที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร โดยมีกรรมการเป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างผู้ถือหุ้นและฝ่ายจัดการ ดังนั้น กรรมการจึงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างธรรมาภิบาลที่ดีในองค์กรนั้น ๆ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้น ลูกค้า และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย (Stakeholders) ตลอดจนระบบสถาบันการเงินในภาพรวม กรรมการจึงต้องมีบทบาทและภาระความรับผิดชอบตามหลักการของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ดังนี้

4.4.1 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อตรง ไม่แสวงหาประโยชน์ส่วนตน ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เล่นพวกเล่นพ้อง และไม่เข้าไปมีส่วนร่วมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจในธุรกรรมหรือกิจการใด ๆ ที่ตนเองมีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) หรือการแสวงหาประโยชน์ส่วนตน รวมถึงต้องสอดส่องดูแลไม่ให้เกิดกระบวนการแทรงแซงการพิจารณาใด ๆ อันจะทำให้สถาบันการเงินมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

4.4.2 ร่วมกำหนดกลยุทธ์ขององค์กรและนโยบายในการปฏิบัติงานตลอดจนติดตามดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายบริหารให้เป็นไปตามกลยุทธ์และนโยบายที่กำหนดไว้

4.4.3 ดูแลให้มีการกำหนดนโยบายเรื่องธรรมาภิบาลที่ดีให้ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ทุกฝ่ายอย่างเหมาะสม

4.4.4 ต้องเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการทุกครั้ง เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นเท่านั้น และจะต้องมีส่วนร่วมในการพิจารณาให้ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในการประชุมอย่างรอบคอบ เอาใจใส่ และเต็มความสามารถ

4.4.5 กำหนดนโยบายการให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมและเพียงพอเพื่อจูงใจและรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพ และดำรงไว้ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ทั้งนี้ ไม่ควรกำหนดอัตราผลตอบแทนผูกโยงกับกำไรระยะสั้น เพื่อไม่ให้กรรมการมีแรงจูงใจในการเพิ่มระดับความเสี่ยงที่สูงเกินกว่าระดับที่สถาบันการเงินยอมรับได้ หรือทำธุรกิจแบบสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงของสถาบันการเงิน โดยละเลยผลกระทบในระยะยาวเพื่อหวังผลตอบแทนที่สูง

5. การบังคับใช้จะมีผลเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาความเห็นของสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่ได้มีสังเกตหลากหลาย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2552 และจะประกาศใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ทั้งนี้ มุมมองต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ GCG + ITG + GRC + Internal Control/Audit ที่เป็นรายละเอียดและเป็นความเข้าใจของผู้เขียนจะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป


Good Corporate Governance – GCG กับสถาบันการเงินบางมุมมองของ ธปท. (ต่อ)

มีนาคม 12, 2009

เนื่องจาก ธปท. เป็นสถาบันหลักในการกำกับสถาบันการเงิน การกำกับของ ธปท. เพื่อให้แน่ใจอย่างสมเหตุสมผลว่า สถาบันการเงินต่าง ๆ จะมีการบริหารงาน ดำเนินการภายใต้กรอบการเติบโตอย่างยั่งยืนที่ยอมรับได้ ธปท. จึงมีบทบาทสูงมากในการกำหนดนโยบายและแนวทางการกำกับ ตลอดจนการติดตามการตรวจสอบ สถาบันการเงินต่าง ๆ อย่างเข้มงวด

วิกฤติการณ์เศรษฐกิจและการเงินของโลกในปัจจุบัน ซึ่งพิจารณาได้ว่ารุนแรงมากนั้น สถาบันการเงินในประเทศไทยได้รับผลกระทบกระเทือนน้อยมาก ทั้งนี้ อาจพิจารณาในมุมมองของความเข้มแข็งของการกำกับสถาบันการเงินของ ธปท. และการดำเนินงานที่มีคุณภาพของสถาบันการเงินต่าง ๆ โดยเฉลี่ยก็น่าจะเกิดจากสถาบันการเงินต่าง ๆ มี GCG ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น

วันนี้ ผมจึงขอนำร่าง เรื่องอำนาจหน้าที่ของกรรมการของสถาบันการเงินที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุด ที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมาภิบาลของสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นแนวทางการกำกับของ ธปท. และจะเป็นแนวทางปฏิบัติของคณะกรรมการ ผู้บริหารของสถาบันการเงินต่าง ๆ มานำเสนอในบางส่วนต่อไป ดังนี้

1. เหตุผล
สถาบันการเงินเป็นองค์กรที่มีความสำคัญต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม หากมีสถาบันการเงินใดที่ดำเนินงานในลักษณะที่ไม่เหมาะสม หรือมีฐานะทางการเงินอ่อนแอ ก็อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังความเชื่อมั่นและความมั่นคงของสถาบันการเงินทั้งระบบได้

นอกจากนี้ ภาวะปัจจุบันสถาบันการเงินมีการแข่งขันสูงขึ้น และธุรกรรมหลายประเภทมีความซับซ้อนและความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งสถาบันการเงินยังถูกคาดหวังจากผู้ถือหุ้น ลูกค้า และผู้มีส่วนได้เสียอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝากเงินก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน

ตำแหน่งกรรมการของสถาบันการเงินจึงมิได้มีความสำคัญในฐานะเพียงกรรมการขององค์กรแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นตำแหน่งที่มีส่วนรับผิดชอบในความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจและระบบสถาบันการเงินของประเทศอีกด้วย

ในการดำเนินกิจการของสถาบันการเงิน กรรมการจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต (Duty of loyalty) และระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของสถาบันการเงิน (Duty of care)

ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดหวังให้กรรมการของสถาบันการเงินมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจหลักของสถาบันการเงิน เพื่อให้การบริหารงานของสถาบันการเงินดำเนินไปอย่างมั่นคง กล่าวคือ
มีระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
มีเงินกองทุนที่เหมาะสมรองรับความมั่นคงของกิจการ
มีการกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของทางการ
ตลอดจนการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการที่มีธรรมาภิบาลที่ดี (Good Corporate Governance)
มีความโปร่งใสและให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
ติดตามดูแลให้ฝ่ายจัดการปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบนโยบายที่กำหนดไว้ เพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย (Stakeholders)

ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเห็นควรกำหนดอำนาจหน้าที่ของกรรมการของสถาบันการเงินในการบริหารจัดการสถาบันการเงินในเรื่องที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุด เพื่อให้สถาบันการเงินมีระบบบริหารจัดการและธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งในกรณีที่สถาบันการเงินกระทำผิดตามกฎหมาย กรรมการของสถาบันการเงินอาจต้องร่วมรับผิดด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้น

2. อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 84 แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของกรรมการของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุดให้กรรมการของสถาบันการเงินถือปฏิบัติโดยทั่วกัน

3. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศทุกธนาคาร บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ทุกแห่ง

4. เนื้อหา
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอำนาจหน้าที่ของกรรมการของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุด 4 ด้าน ดังนี้

4.1 ด้านการบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
กรรมการของสถาบันการเงินต้องมีความเข้าใจลักษณะของธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของสถาบันการเงินอย่างเพียงพอและเหมาะสม เพื่อที่จะสามารถจัดให้มีระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะปกป้องดูแลผลประโยชน์ของสถาบันการเงิน และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น กรรมการของสถาบันการเงินจึงมีหน้าที่ ดังนี้

4.1.1 ต้องกำหนดนโยบายและกลยุทธ์ในการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ และต้องให้แน่ใจว่ามีกระบวนการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Process) สำหรับความเสี่ยงที่สำคัญทุกประเภท เช่น ความเสี่ยงด้านเครดิต ความเสี่ยงด้านตลาด ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง เป็นต้น

4.1.2 ต้องดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าสถาบันการเงินมีกระบวนการในการบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุม ครบถ้วน อย่างน้อยดังต่อไปนี้

(1) กำหนดขั้นตอนการบริหารความเสี่ยง ได้แก่ การระบุความเสี่ยง (Risk Identification) การวัดความเสี่ยง (Risk Measurement) การควบคุมและลดความเสี่ยง (Risk Mitigation and Control) และการติดตามความเสี่ยงและการรายงาน (Risk Monitoring and Reporting) ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงด้านต่าง ๆ

(2) กำหนดเพดานความเสี่ยงที่เพียงพอ ให้เหมาะสมกับปริมาณ ความซับซ้อนและประเภทของธุรกรรมของสถาบันการเงิน ครอบคลุมความเสี่ยงต่าง ๆ ที่สำคัญอย่างครบถ้วน

4.1.3 ติดตามดูแลและประเมินความครบถ้วน ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการปฏิบัติงานตามนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่กำหนดไว้อย่างใกล้ชิด

4.1.4 ทบทวนนโยบาย ขั้นตอนการบริหารความเสี่ยงและเพดานความเสี่ยงให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เป้าหมาย ความสามารถโดยรวมขององค์กร และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

4.1.5 ต้องให้ความสนใจเรื่องความเสี่ยงด้านสินเชื่อ ในประเด็นต่อไปนี้

(1) มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสินเชื่อ กำกับดูแลการให้สินเชื่อและการลงทุนเป็นไปอย่างถูกทำนองคลองธรรม มีกระบวนการพิจารณาโอกาสที่จะได้รับชำระคืนอย่างจริงจังครบถ้วน โดยครอบคลุมถึงความเสี่ยงทุกด้านที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อและการลงทุนนั้น และมีกระบวนการติดตามดูแลสินเชื่อและการลงุทนนั้นอย่างต่อเนื่อง

(2) ต้องดูแลไม่ให้เกิดการกระจุกตัวของความเสี่ยงด้านสินเชื่อและการลงทุน โดยกำหนดจำนวนสูงสุดที่จะอนุญาตให้กู้และลงทุนแก่ลูกค้ารายหนึ่ง ๆ และกลุ่มหนึ่ง ๆ ซึ่งอาจรวมถึงจำนวนสูงสุดสำหรับผู้กู้หลายรายที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย (Industry limit)

(3) พึงเอาใจใส่เป็นพิเศษในการให้สินเชื่อแก่กิจการที่เกี่ยวข้องกับกรรมการ ผู้บริหาร หรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เพื่อป้องกันการเอื้อประโยชน์ที่ไม่เหมาะสม และการมองข้ามความเสี่ยงที่ไม่สมควร

(4) ต้องกำหนดนโยบายและกระบวนการจัดการปัญหาที่เพียงพอสำหรับกรณีสินเชื่อหรือการลงทุนที่มีปัญหา และต้องดูแลให้มีการตั้งสำรองหนี้สูญให้พอเพียงกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

4.1.6 อนุมัตินโยบาย แผนงานในการทำธุรกรรมทางการเงินใหม่ ๆ โดยครอบคลุมถึงวัตถุประสงค์และขั้นตอนในการประกอบธุรกรรม และปัจจัยความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสถาบันการเงิน รวมทั้งต้องพิจารณาประเด็นด้านกฎหมาย บัญชี และภาษีที่เกี่ยวข้อง

4.1.7 ต้องกำหนดให้มีระบบควบคุมภายในและการตรวจสอบภายใน ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการปฏิบัติงาน ให้มีความชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร โดยกำหนดโครงสร้างและขั้นตอนการควบคุมอย่างละเอียดในทุกระดับชั้นขององค์กร ตลอดจนติดตาดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมภายใน และมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ

4.1.8 จัดให้มีการแบ่งแยกหน้าที่ในการปฏิบัติงานของพนักงานให้ชัดเจน (Segregation of Duties) เพื่อให้มีการตรวจสอบถ่วงดุล (Check and Balance) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ทำธุรกรรม (Front Office) ผู้ดูแลความเสี่ยง (Middle Office) และผู้ทำงานด้านปฏิบัติการ (Back Office) มิให้เกิดการซ้ำซ้อนหรือคาบเกี่ยวกัน หรือเปิดโอกาสให้สามารถกระทำการเพื่อประโยชน์ส่วนตน และอาจเกิดปัญหาความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest)

4.2. ด้านการดูแลความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy)เงินกองทุนเป็นสิ่งที่แสดงฐานะของสถาบันการเงิน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น คุณภาพสินเชื่อ โครงสร้างของสินทรัพย์เสี่ยง ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย การเติบโตของกิจการและผลการดำเนินงาน กรรมการของสถาบันการเงินจึงมีหน้าที่ ดังนี้

4.2.1 ดูแลความเพียงพอของเงินกองทุน โดยการติดตามฐานะเงินกองทุนของสถาบันการเงินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกำกับดูแลให้สถาบันการเงินสามารถดำรงเงินกองทุนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และเพียงพอรองรับการดำเนินธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต

4.2.2 ดำเนินการให้มีการกำหนดกระบวนการหรือเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อใช้ดูแลความเพียงพอของเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่มั่นคง สามารถรองรับความเสี่ยงที่สถาบันการเงินมีอยู่และสอดคล้องกับการบริหารความเสี่ยงและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงิน โดยอย่างน้อยต้องจัดให้มีการดำเนินการดังกล่าวภายใต้กรอบกระบวนการประเมินความเพียงพอของเงินกองทุน (Internal Capital Adequacy Assessment Process : ICAAP) ให้มีความเหมาะสมกับปริมาณ ความซับซ้อน และประเภทของธุรกรรมของสถาบันการเงิน โดยครอบคลุมความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญทุกด้านที่จะมีผลกระทบต่อเงินกองทุน ฐานะ และผลการดำเนินงาน สถาบันการเงินต้องให้ความสำคัญใน 2 เรื่อง ดังนี้

(1) การทดสอบภาวะวิกฤติ (Stress Test) ต้องพิจารณาถึงเหตุการณ์วิกฤติที่อาจเกิดขึ้นได้หรือการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบด้านลบอย่างรุนแรงต่อเงินกองทุน และประเมินความสามารถของสถาบันการเงินที่จะอยู่รอดภายใต้ภาวะการเปลี่ยนแปลงนั้น เช่น ภาวะเศรษฐกิจหรือภาวะอุตสาหกรรมที่ตกต่ำ ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน และปัญหาสภาพคล่องในระบบการเงิน เป็นต้น

(2) การวางแผนเงินกองทุน (Capital Planning) การประมาณการระดับเงินกองทุนให้สามารถรองรับการขยายตัวทางธุรกิจของสถาบันการเงิน ซึ่งทำให้มีสินทรัพย์เสี่ยงและปัจจัยความเสี่ยงอื่น ๆ เพิ่มขึ้น และอาจมีผลกระทบต่อเงินกองทุน นอกจากนี้ ต้องวางแผนในการเพิ่มทุนให้เพียงพอและสอดคล้องกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินด้วย

4.3 ด้านการกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของทางการ (Compliance Roles)สถาบันการเงินอยู่ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย กฎและระเบียบ ข้อบังคับมาตรฐาน และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ของทางการ และจะต้องจัดทำรายงานต่าง ๆ เสนอต่อหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแล กรรมการจึงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการดำเนินงาน ดังนี้

4.3.1 จัดให้มีระบบควบคุมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าสถาบันการเงินได้ดำเนินการไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย กฎและระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ รวมทั้งคำสั่งการของธนาคารแห่งประเทศไทย ฯลฯ โดยที่ระบบควบคุมดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือช่วยชี้ให้เห็นการปฏิบัติ ฝ่าฝืนกฎหมาย หรือกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ หรือข้อผิดพลาดต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

4.3.2 กำหนดให้ฝ่ายจัดการเปิดเผยข้อมูลในเรื่องสำคัญ ๆ อย่างครบถ้วน ถูกต้อง เพียงพอ ทันต่อเหตุการณ์ เช่น การเปิดเผยข้อมูลของรายการที่อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) การเปิดเผยผลประโยชน์และค่าตอบแทนที่กรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือผู้บริหารอื่น ๆ ที่ไม่เป็นกรรมการได้รับจากสถาบันการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลการเป็นกรรมการในบริษัทอื่น เป็นต้น

4.4 ด้านการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการที่มีธรรมาภิบาลที่ดี (Good Corporate Governance)คณะกรรมการของสถาบันการเงินมีอำนาจและหน้าที่ในการกำกับดูแลสถาบันการเงินในอันที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร โดยมีกรรมการเป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างผู้ถือหุ้นและฝ่ายจัดการ ดังนั้น กรรมการจึงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างธรรมาภิบาลที่ดีในองค์กรนั้น ๆ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้น ลูกค้า และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย (Stakeholders) ตลอดจนระบบสถาบันการเงินในภาพรวม กรรมการจึงต้องมีบทบาทและภาระความรับผิดชอบตามหลักการของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ดังนี้

4.4.1 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อตรง ไม่แสวงหาประโยชน์ส่วนตน ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เล่นพวกเล่นพ้อง และไม่เข้าไปมีส่วนร่วมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจในธุรกรรมหรือกิจการใด ๆ ที่ตนเองมีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) หรือการแสวงหาประโยชน์ส่วนตน รวมถึงต้องสอดส่องดูแลไม่ให้เกิดกระบวนการแทรงแซงการพิจารณาใด ๆ อันจะทำให้สถาบันการเงินมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

4.4.2 ร่วมกำหนดกลยุทธ์ขององค์กรและนโยบายในการปฏิบัติงานตลอดจนติดตามดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายบริหารให้เป็นไปตามกลยุทธ์และนโยบายที่กำหนดไว้

4.4.3 ดูแลให้มีการกำหนดนโยบายเรื่องธรรมาภิบาลที่ดีให้ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ทุกฝ่ายอย่างเหมาะสม

4.4.4 ต้องเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการทุกครั้ง เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นเท่านั้น และจะต้องมีส่วนร่วมในการพิจารณาให้ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในการประชุมอย่างรอบคอบ เอาใจใส่ และเต็มความสามารถ

4.4.5 กำหนดนโยบายการให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมและเพียงพอเพื่อจูงใจและรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพ และดำรงไว้ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ทั้งนี้ ไม่ควรกำหนดอัตราผลตอบแทนผูกโยงกับกำไรระยะสั้น เพื่อไม่ให้กรรมการมีแรงจูงใจในการเพิ่มระดับความเสี่ยงที่สูงเกินกว่าระดับที่สถาบันการเงินยอมรับได้ หรือทำธุรกิจแบบสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงของสถาบันการเงิน โดยละเลยผลกระทบในระยะยาวเพื่อหวังผลตอบแทนที่สูง

5. การบังคับใช้จะมีผลเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาความเห็นของสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่ได้มีสังเกตหลากหลาย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2552 และจะประกาศใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ทั้งนี้ มุมมองต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ GCG + ITG + GRC + Internal Control/Audit ที่เป็นรายละเอียดและเป็นความเข้าใจของผู้เขียนจะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป


Good Corporate Governance – GCG กับสถาบันการเงินบางมุมมองของ ธปท. (ต่อ)

มีนาคม 10, 2009

เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2552 ผมได้นำเสนอเรื่องการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ GCG ของ ธปท. ที่ได้ร่างนำเสนอขอความคิดเห็นจากประธานกรรมการสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่ห้องประชุม ดร. ป๋วย อึ้งภากรณ์ ชั้น 4 ของ ธปท. นั้น

มีผู้สนใจในข้อสังเกตบางถ้อยคำของผู้เขียนต่อที่ประชุม เช่น Interdependence และ Risk Convergence ที่ผู้เขียนได้หยิบยกมากล่าวเพิ่มเติมในเรื่องอำนาจหน้าที่ของกรรมการสถาบันการเงินที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุด 4 เรื่องคือ
1. Risk Management
2. Capital Adequacy
3. Compliance Roles
4. Good Corporate Governance

จึงขออธิบายสั้น ๆ ดังนี้
1. Interdependent
หัวข้อทั้ง 4 ที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุดข้างต้นในทุกหัวข้อมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในตัวของมันเองในทุกข้อ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและการเติบโตอย่างยั่งยืนของสถาบันการเงินทุกแห่งที่ ธปท. ใช้เป็นกรอบในการกำกับ โดยมีรายละเอียดที่ไม่ขอกล่าวในที่นี้นั้น ทั้ง 4 หัวข้อยังมีปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะผลกระทบจากเหตุการณ์ การกระทำ หรือจุดอ่อนที่กล่าวข้างต้นข้อหนึ่งข้อใด จะไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายในแต่ละปัจจัย หรือในแต่ละประเด็นที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น แต่ยังจะมีผลกระทบต่อปัจจัยหรือประเด็นอื่น ๆ ที่ ธปท. ให้เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญสูงสุดในการกำกับและการตรวจสอบสถาบันการเงินด้วย ความหมายข้างต้นตามที่ผมกล่าวเรียกสั้น ๆ ว่า “Interdependent”

ขอยกตัวอย่างอื่น ๆ ประกอบคำอธิบายของคำว่า Interdependent ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ IT Security ตามมาตรฐาน ISO 27001 ซึ่งมี Domain หลัก ๆ 11 หัวข้อดังนี้
1. Security policy
2. Organization of information security
3. Asset management
4. Human resources security
5. Physical and environmental security
6. Communications and operations management
7. Access control
8. Information systems acquisition, development and maintenance
9. Information security incident management
10. Business continuity management
11. Compliance

ซึ่งอาจจะอธิบายโดยแผนภาพเพื่อให้เกิดความเข้าใจของคำว่า Interdependent ดังนี้

Information Security_ISO 27001

Information Security_ISO 27001

จาก Domain ทั้ง 11 ของมาตรฐาน ISO 27001 ซึ่งกระทรวงการคลัง โดย สคร. นำไปเป็นประเด็นในการพิจารณาศักยภาพการบริหารความเสี่ยงและพิจารณามุมมองการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศร่วมกันไปนั้น อธิบายในมุมมองของ Interdependent ได้ว่า ทั้ง 11 Domain มีความสำคัญในตัวของมันเองในแต่ละข้อ และในแต่ละข้อก็มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เพื่อให้ได้ดุลยภาพของความปลอดภัย ความมั่นคงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Security) หากขาดข้อหนึ่งข้อใดก็พิจารณาได้ว่าดุลยภาพในการจัดการด้านความปลอดภัยและความมั่นคงทางด้านสารสนเทศที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการประมวลข้อมูลและการรายงานต่าง ๆ เพื่อการบริหารของทุกองค์กรจะมีปัญหาสำคัญในเรื่องความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูล และสารสนเทศที่ใช้ในการตัดสินใจขององค์กรโดยรวมเป็นอย่างยิ่ง

อาจจะอธิบายเพิ่มเติมได้ว่า หากองค์กรใดองค์กรหนึ่งได้จัดให้มีการจัดการด้าน IT Security ตั้งแต่ ข้อ 2 ถึง ข้อ 11 ครบถ้วน แต่ขาดเพียง ข้อ 1 เพียงข้อเดียว ก็เป็นเรื่องที่องค์กรนั้นจะขาดความเป็น Interdependent ทางด้าน IT Security หรือในกรณีที่องค์กรหนึ่งองค์กรใด รวมทั้งสถาบันการเงินมี IT Security ตั้งแต่ ข้อ 1 ถึง ข้อ 11 แต่ขาด IT Security ทางด้าน Business Continuity Management – BCM ซึ่งเป็นข้อ 10 เพียงข้อเดียว องค์กรนั้นหรือสถาบันการเงินนั้นก็พิจารณาได้ว่าไม่มีระบบ IT Security ที่ดีและยอมรับได้ ในมุมมองของผู้กำกับ (Regulors) และ Operators ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการจัดการของคณะกรรมการและผู้บริหารขององค์กร

นี่เป็นเรื่องของดุลยภาพในการบริหารและการจัดการที่ดีเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน มั่นคง ++ ของทุกองค์กร ตามหลัก Good Corporate Governance – GCG และ IT Governance – ITG และเป็นไปตาม Statement ใหม่ ที่กล่าวถึง GRC – Governance + Risk + Compliance ของการบริหารการจัดการที่เป็น First Priority และการบริหารจัดการของทุกองค์กรในปัจจุบัน

จากแผนภาพข้างต้น จะเข้าใจได้ค่อนข้างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ของ Domain ทั้ง 11 ที่ต้องอาศัยประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการจัดการ IT Security ในแต่ละเรื่องให้ดีเป็นไปตามมาตรฐาน เพราะทุกเรื่องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันเช่นเดียวกับร่างกายของมนุษย์ที่มีอวัยวะ ระบบประสาท ระบบสมอง ระบบหัวใจ ระบบหลอดเลือด ระบบกล้ามเนื้อ ระบบขับถ่าย ระบบผิวหนัง และอวัยวะอื่น ๆ เช่น โครงกระดูก เป็นต้นนั้น

ทุกอวัยวะมีความสำคัญที่จะต้องทำงานสมบูรณ์ได้โดยตัวของมันเอง และต้องอาศัยระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาหล่อเลี้ยงอวัยวะของตนเพื่อให้ทุกส่วนของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ ถ้าระบบหนึ่งระบบใดของร่างกายมีปัญหา ระบบอื่น ๆ ก็จะพลอยมีปัญหาตามไปด้วยในที่สุด นั่นคือ สุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจจะมีแต่ปัญหาตามมาจนถึงการจากไปของร่างกายและจิตวิญญาณในที่สุด นี่คือคำอธิบายโดยรวม ๆ ของคำว่า Interdependent ที่เกี่ยวข้องกับ Risk Convergence ในอีกมุมมองหนึ่ง

2. Risk Convergence
คำ ๆ นี้ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งที่คณะกรรมการและผู้บริหาร รวมทั้งผู้ปฏิบัติระดับต่าง ๆ ขององค์กร ควรจะทำความเข้าใจให้ตรงกัน เพราะจะเกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนความสำเร็จในมุมมองต่าง ๆ ตามที่ ธปท. ได้กล่าวข้างต้น และตามมุมมองของ COSO-ERM และตามหลักการ Balanced Scorecard รวมทั้งกรอบมาตรฐานของ COBIT ตาม IT Governance ซึ่งผู้เขียนจะได้ขยายความในโอกาสต่อไป

สำหรับวันนี้ เพียงแต่จะอธิบาย Risk Convergence ในมุมมองกว้าง ๆ ว่า เหตุการณ์ ความไม่แน่นอน รวมทั้งโอกาสในการสร้างคุณค่าเพิ่มใหม่ ๆ ของทุกองค์กร ซึ่งอาจจะเรียกรวม ๆ กันว่าเป็นการบริหารเชิงรุก โดยผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องใช้ดุลยพินิจ วิจารณญาณ การวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหน้าที่มีผลกระทบต่อการบรรลุเป้าประสงค์ พันธกิจ วิสัยทัศน์ ขององค์กรระดับต่าง ๆ นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่คณะกรรมการต่าง ๆ ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติทุกระดับ ควรเข้าใจตรงกันว่า องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในทุกมุมมองจะเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานขององค์กรอย่างแยกกันไม่ได้ เพราะผลกระทบของเหตุการณ์หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง IT หรือ Non-IT จะมีผลกระทบต่อวัตถุประสงค์ในการควบคุมภายในเพื่อก้าวไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ระดับต่าง ๆ ของทุกองค์กร ตามหลักการของ COSO-ERM v.2 ในเรื่องที่เกี่ยวกับ S-Strategy, O-Operational, F-Financial, C-Compliance

ซึ่งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับ COSO-ERM v.2 กับแนวทางการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร จะได้นำเสนอในหัวข้องของ COSO-ERM และการบริหารความเสี่ยงขององค์กรในเร็ว ๆ นี้ โปรดติดตามได้ต่อไป

โดยสรุป Risk Convergence ในมุมมองของคณะกรรมการ ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานแล้ว ต้องการความเข้าใจในภาพโดยรวมของการจัดการ ในมุมมองของ Holistic Framework และ Integrated Thinking ผสมผสานกับ Allignment ของกระบวนการจัดการและการปฏิบัติงานของคณะกรรมการทุกชุด ซึ่งอาจจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายจากแผนภาพประกอบด้านล่างนี้

Risk Convergence Mgmt. Model

Risk Convergence Mgmt. Model

สำหรับข้อคิดเห็นหรือข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวข้องมุมมองของการบริหารจัดการทางด้าน Corporate Governance + Risk Management + Compliance Roles + Capital Adequacy ในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจะได้ขยายความตามมุมมองของผู้เขียนต่อไป


Good Corporate Governance – GCG กับสถาบันการเงินบางมุมมองของ ธปท. (ต่อ)

มีนาคม 10, 2009

เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2552 ผมได้นำเสนอเรื่องการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ GCG ของ ธปท. ที่ได้ร่างนำเสนอขอความคิดเห็นจากประธานกรรมการสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่ห้องประชุม ดร. ป๋วย อึ้งภากรณ์ ชั้น 4 ของ ธปท. นั้น

มีผู้สนใจในข้อสังเกตบางถ้อยคำของผู้เขียนต่อที่ประชุม เช่น Interdependence และ Risk Convergence ที่ผู้เขียนได้หยิบยกมากล่าวเพิ่มเติมในเรื่องอำนาจหน้าที่ของกรรมการสถาบันการเงินที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุด 4 เรื่องคือ
1. Risk Management
2. Capital Adequacy
3. Compliance Roles
4. Good Corporate Governance

จึงขออธิบายสั้น ๆ ดังนี้
1. Interdependent
หัวข้อทั้ง 4 ที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุดข้างต้นในทุกหัวข้อมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในตัวของมันเองในทุกข้อ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและการเติบโตอย่างยั่งยืนของสถาบันการเงินทุกแห่งที่ ธปท. ใช้เป็นกรอบในการกำกับ โดยมีรายละเอียดที่ไม่ขอกล่าวในที่นี้นั้น ทั้ง 4 หัวข้อยังมีปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะผลกระทบจากเหตุการณ์ การกระทำ หรือจุดอ่อนที่กล่าวข้างต้นข้อหนึ่งข้อใด จะไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายในแต่ละปัจจัย หรือในแต่ละประเด็นที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น แต่ยังจะมีผลกระทบต่อปัจจัยหรือประเด็นอื่น ๆ ที่ ธปท. ให้เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญสูงสุดในการกำกับและการตรวจสอบสถาบันการเงินด้วย ความหมายข้างต้นตามที่ผมกล่าวเรียกสั้น ๆ ว่า “Interdependent”

ขอยกตัวอย่างอื่น ๆ ประกอบคำอธิบายของคำว่า Interdependent ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ IT Security ตามมาตรฐาน ISO 27001 ซึ่งมี Domain หลัก ๆ 11 หัวข้อดังนี้
1. Security policy
2. Organization of information security
3. Asset management
4. Human resources security
5. Physical and environmental security
6. Communications and operations management
7. Access control
8. Information systems acquisition, development and maintenance
9. Information security incident management
10. Business continuity management
11. Compliance

ซึ่งอาจจะอธิบายโดยแผนภาพเพื่อให้เกิดความเข้าใจของคำว่า Interdependent ดังนี้

Information Security_ISO 27001

Information Security_ISO 27001

จาก Domain ทั้ง 11 ของมาตรฐาน ISO 27001 ซึ่งกระทรวงการคลัง โดย สคร. นำไปเป็นประเด็นในการพิจารณาศักยภาพการบริหารความเสี่ยงและพิจารณามุมมองการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศร่วมกันไปนั้น อธิบายในมุมมองของ Interdependent ได้ว่า ทั้ง 11 Domain มีความสำคัญในตัวของมันเองในแต่ละข้อ และในแต่ละข้อก็มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เพื่อให้ได้ดุลยภาพของความปลอดภัย ความมั่นคงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Security) หากขาดข้อหนึ่งข้อใดก็พิจารณาได้ว่าดุลยภาพในการจัดการด้านความปลอดภัยและความมั่นคงทางด้านสารสนเทศที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการประมวลข้อมูลและการรายงานต่าง ๆ เพื่อการบริหารของทุกองค์กรจะมีปัญหาสำคัญในเรื่องความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูล และสารสนเทศที่ใช้ในการตัดสินใจขององค์กรโดยรวมเป็นอย่างยิ่ง

อาจจะอธิบายเพิ่มเติมได้ว่า หากองค์กรใดองค์กรหนึ่งได้จัดให้มีการจัดการด้าน IT Security ตั้งแต่ ข้อ 2 ถึง ข้อ 11 ครบถ้วน แต่ขาดเพียง ข้อ 1 เพียงข้อเดียว ก็เป็นเรื่องที่องค์กรนั้นจะขาดความเป็น Interdependent ทางด้าน IT Security หรือในกรณีที่องค์กรหนึ่งองค์กรใด รวมทั้งสถาบันการเงินมี IT Security ตั้งแต่ ข้อ 1 ถึง ข้อ 11 แต่ขาด IT Security ทางด้าน Business Continuity Management – BCM ซึ่งเป็นข้อ 10 เพียงข้อเดียว องค์กรนั้นหรือสถาบันการเงินนั้นก็พิจารณาได้ว่าไม่มีระบบ IT Security ที่ดีและยอมรับได้ ในมุมมองของผู้กำกับ (Regulors) และ Operators ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการจัดการของคณะกรรมการและผู้บริหารขององค์กร

นี่เป็นเรื่องของดุลยภาพในการบริหารและการจัดการที่ดีเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน มั่นคง ++ ของทุกองค์กร ตามหลัก Good Corporate Governance – GCG และ IT Governance – ITG และเป็นไปตาม Statement ใหม่ ที่กล่าวถึง GRC – Governance + Risk + Compliance ของการบริหารการจัดการที่เป็น First Priority และการบริหารจัดการของทุกองค์กรในปัจจุบัน

จากแผนภาพข้างต้น จะเข้าใจได้ค่อนข้างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ของ Domain ทั้ง 11 ที่ต้องอาศัยประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการจัดการ IT Security ในแต่ละเรื่องให้ดีเป็นไปตามมาตรฐาน เพราะทุกเรื่องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันเช่นเดียวกับร่างกายของมนุษย์ที่มีอวัยวะ ระบบประสาท ระบบสมอง ระบบหัวใจ ระบบหลอดเลือด ระบบกล้ามเนื้อ ระบบขับถ่าย ระบบผิวหนัง และอวัยวะอื่น ๆ เช่น โครงกระดูก เป็นต้นนั้น

ทุกอวัยวะมีความสำคัญที่จะต้องทำงานสมบูรณ์ได้โดยตัวของมันเอง และต้องอาศัยระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาหล่อเลี้ยงอวัยวะของตนเพื่อให้ทุกส่วนของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ ถ้าระบบหนึ่งระบบใดของร่างกายมีปัญหา ระบบอื่น ๆ ก็จะพลอยมีปัญหาตามไปด้วยในที่สุด นั่นคือ สุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจจะมีแต่ปัญหาตามมาจนถึงการจากไปของร่างกายและจิตวิญญาณในที่สุด นี่คือคำอธิบายโดยรวม ๆ ของคำว่า Interdependent ที่เกี่ยวข้องกับ Risk Convergence ในอีกมุมมองหนึ่ง

2. Risk Convergence
คำ ๆ นี้ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งที่คณะกรรมการและผู้บริหาร รวมทั้งผู้ปฏิบัติระดับต่าง ๆ ขององค์กร ควรจะทำความเข้าใจให้ตรงกัน เพราะจะเกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนความสำเร็จในมุมมองต่าง ๆ ตามที่ ธปท. ได้กล่าวข้างต้น และตามมุมมองของ COSO-ERM และตามหลักการ Balanced Scorecard รวมทั้งกรอบมาตรฐานของ COBIT ตาม IT Governance ซึ่งผู้เขียนจะได้ขยายความในโอกาสต่อไป

สำหรับวันนี้ เพียงแต่จะอธิบาย Risk Convergence ในมุมมองกว้าง ๆ ว่า เหตุการณ์ ความไม่แน่นอน รวมทั้งโอกาสในการสร้างคุณค่าเพิ่มใหม่ ๆ ของทุกองค์กร ซึ่งอาจจะเรียกรวม ๆ กันว่าเป็นการบริหารเชิงรุก โดยผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องใช้ดุลยพินิจ วิจารณญาณ การวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหน้าที่มีผลกระทบต่อการบรรลุเป้าประสงค์ พันธกิจ วิสัยทัศน์ ขององค์กรระดับต่าง ๆ นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่คณะกรรมการต่าง ๆ ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติทุกระดับ ควรเข้าใจตรงกันว่า องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในทุกมุมมองจะเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานขององค์กรอย่างแยกกันไม่ได้ เพราะผลกระทบของเหตุการณ์หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง IT หรือ Non-IT จะมีผลกระทบต่อวัตถุประสงค์ในการควบคุมภายในเพื่อก้าวไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ระดับต่าง ๆ ของทุกองค์กร ตามหลักการของ COSO-ERM v.2 ในเรื่องที่เกี่ยวกับ S-Strategy, O-Operational, F-Financial, C-Compliance

ซึ่งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับ COSO-ERM v.2 กับแนวทางการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร จะได้นำเสนอในหัวข้องของ COSO-ERM และการบริหารความเสี่ยงขององค์กรในเร็ว ๆ นี้ โปรดติดตามได้ต่อไป

โดยสรุป Risk Convergence ในมุมมองของคณะกรรมการ ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานแล้ว ต้องการความเข้าใจในภาพโดยรวมของการจัดการ ในมุมมองของ Holistic Framework และ Integrated Thinking ผสมผสานกับ Allignment ของกระบวนการจัดการและการปฏิบัติงานของคณะกรรมการทุกชุด ซึ่งอาจจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายจากแผนภาพประกอบด้านล่างนี้

Risk Convergence Mgmt. Model

Risk Convergence Mgmt. Model

สำหรับข้อคิดเห็นหรือข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวข้องมุมมองของการบริหารจัดการทางด้าน Corporate Governance + Risk Management + Compliance Roles + Capital Adequacy ในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจะได้ขยายความตามมุมมองของผู้เขียนต่อไป


บรรษัทภิบาล/การบริหารการจัดการที่ดีกับจริยธรรมองค์กร

มีนาคม 8, 2009

5. ธรรมาภิบาลกับการบริหารความเสี่ยง

CG กับ RM และการประเมินคุณภาพ

ธรรมาภิบาล (Good Governance) ซึ่งเป็นแม่บทของบรรษัทภิบาล หรือการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) หรือ Corporate Governance หรือ CG ที่เคียงคู่กันกับการกำกับดูแลกิจการที่ดีทางด้านสารสนเทศ (IT Governance) นั้น คงเป็นที่เข้าใจกันดีเพราะกล่าวถึงและใช้กันมาหลายปีแล้ว แต่เนื่องจากความคิดและความเข้าใจ ความมุ่งมั่นเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมที่ทำได้ วัดได้ ตรวจสอบได้ รายงานความเกี่ยวข้อง ความเกี่ยวพัน การสอดประสาน การบูรณาการที่มีพื้นฐานแตกต่างกัน ทำให้หลักการที่ดีที่หลายองค์กรต่างก็อ้างว่าได้ปฏิบัติแล้ว มีคู่มือแล้ว มีโครงสร้างแล้ว มีนโยบายและระเบียบครอบคลุมดีแล้ว รวมทั้งองค์กรก็นำระบบการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร (Enterprise Risk Management – ERM) ตามหลักการของ COSO ใหม่ (Committee of Sponsoring Organization of the Treadway Commission) 8 ประการ แต่หลายองค์กรก็มีปัญหาในการบริหารเพื่อการบรรลุเป้าหมายหลัก ๆ ของทุกองค์กรทั้ง 4 ประการ คือ S (Strategic) + O (Operation) + F (Financial & Reporting) + C (Compliance) ซึ่งอาจจะอธิบายด้วยแผนภาพเพื่อก้าวไปสู่การบริหารเชิงรุก โดยการมองถึงอนาคตที่อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์และหาทางจัดการ ป้องกัน ควบคุม เพื่อให้ประเทศ องค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ก้าวไปสู่เป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้

ส่วนประกอบของ ERM

มุมมองตามหลัก COSO – Based ที่ต้องการการบริหารแบบผสมผสานและบูรณาการในมิติต่าง ๆ ตั้งแต่ส่วนประกอบของการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร (ERM) ทั้ง 8 ประการ กับเป้าประสงค์ของการบริหารงานโดยทั่วไป 4 ข้อ และการเชื่อมโยงไปสู่ระดับการบริหารความเสี่ยง 4 ระดับ

COSO_Based

COSO_Based

5.1. องค์กรไม่อาจก้าวไปสู่เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ระดับต่าง ๆ ขององค์กร (Strategic Risk) ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Appetite) ตามมุมมองของหลักการ Balanced Scorecard ที่กำหนด

5.2. องค์กรไม่อาจก้าวไปสู่เป้าหมายด้านการปฏิบัติงาน/การดำเนินงาน การบริหารที่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับบุคลากร กระบวนการทำงาน และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สนองตอบต่อกลยุทธ์และนโยบายขององค์กร (Operational Risk) ที่อยู่ในระดับและกรอบที่องค์กรกำหนดได้

5.3. องค์กรไม่อาจก้าวไปสู่เป้าหมายด้านการรายงานต่าง ๆ ที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือได้ ตามกรอบของความเสี่ยงที่กำหนด โดยเฉพาะรายงานทางด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และรายงานทางการเงิน (Reporting /Financial Risk)

5.4. องค์กรไม่อาจก้าวไปสู่การปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ คำสั่ง ประกาศ ขั้นตอนการปฏิบัติงานต่าง ๆ ได้อย่างมีคุณภาพที่ยอมรับได้ (Compliance Risk)

ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายที่เป็นทั้ง Tangible Asset/Value และ Intangible Asset/Value เช่น การเสื่อมเสียชื่อเสียง ขาดความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) อาจสร้างภาระปัญหา ความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สร้างภาระผูกพันในทางลบต่อฐานะและความมั่นคงทางการเงิน/การดำเนินงาน จากการไม่ปฏิบัติหรือการปฏิบัติที่ย่อหย่อนทางด้านคุณภาพ โดยไม่ส่งเสริมการปฏิบัติอันเป็นเลิศและการมีจรรยาบรรณที่ดีในการประกอบธุรกิจ (Promotion of Best Practices) ศักยภาพการจัดการตามสภาวะการณ์ที่ต้องปฏิบัติให้สมกับความไว้วางใจจากเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น (Fiduciary Duty) อย่างที่ควรจะเป็น หากองค์กรมีผู้บริหารแบบมืออาชีพ และทำหน้าที่อย่างผู้เป็นเจ้าของจะพึงปฏิบัติ เป็นต้น


หลักการกับหลักเกณฑ์ธรรมาภิบาลใหม่ของสถาบันการเงินบางมุมมองของ ธปท.

มีนาคม 7, 2009

ผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมรับฟังความคิดเห็นในหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์ธรรมาภิบาลของสถาบันการเงิน (Corporate Governance for Financial Institutions) ของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2552 โดย

ธปท. จะมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องธรรมาภิบาลเพื่อการบริหารงานของสถาบันการเงิน เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริหารระดับประธาน คณะกรรมการชุดต่าง ๆ ของสถาบันการเงิน จำนวน 16 แห่งเข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของธนาคารแห่งประเทศไทย ในการออกมาตรการกำกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการและผู้บริหารของสถาบันการเงิน ซึ่งมีรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตาม พรบ. ธุรกิจสถาบันการเงิน เช่น

– คุณสมบัติต้องห้ามของกรรมการ
– การขอความเห็นชอบต่อ ธปท. ก่อนการแต่งตั้ง
– ความรับผิดชอบของกรรมการในการบริหารงานงานสถาบันการเงิน
– โครงสร้างคณะกรรมการและคณะกรรมการชุดย่อย
– คุณสมบัติของกรรมการอิสระ
– การเป็นกรรมการในบริษัทอื่น
– การแจ้งการเปลี่ยนแปลง
– การจัดส่งรายงานการประชุมคณะกรรมการ

ทั้งนี้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับ
หลักการและเหตุผล (Rationale and Principle)
– เพื่อกำหนดกระบวนการในทางปฏิบัติของสถาบันการเงิน และ ธปท. ให้เป็นไปตาม พรบ. ธุรกิจสถาบันการเงิน โดยยึดหลักการที่จะต้องมีความโปร่งใส ความชัดเจน ความเป็นธรรม และความเสมอภาคกัน

กระบวนการในการดำเนินการ (Process)
– คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) จึงได้อนุมัติในหลักการให้ดำเนินการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ธรรมาภิบาลของสถาบันการเงิน ใน 2 เรื่อง ดังนี้
1. เรื่อง อำนาจหน้าที่ของกรรมการของสถาบันการเงินที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุด (เพื่อการตรวจสอบตามกฎหมาย)
2. เรื่อง หลักเกณฑ์และกระบวนการพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน

ประเด็นที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุดในการทำหน้าที่ของกรรมการของสถาบันการเงิน มี 4 ประเด็น ซึ่ง ธปท. จะใช้เป็นแนวทางในการกำกับและตรวจสอบมีดังนี้

อำนาจหน้าที่ของกรรมการสถาบันการเงินที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุด
1. Risk Management
2. Capital Adequacy
3. Compliance Roles
4. Good Corporate Governance

ทั้งนี้ ธปท. จะให้ความสำคัญของบทบาทกรรมการในประเด็นการมีส่วนร่วม การมีระบบการติดตาม การประเมินผลและคุณภาพการจัดการตามหัวข้อ ทั้ง 4 ว่ากรรมการมีบทบาทเพียงใดเป็นสำคัญ

เพื่อให้สถาบันการเงินมีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี และมีประสิทธิภาพ กรรมการสถาบันการเงินควรมีหน้าที่สำคัญ 4 ประการ ดังนี้
1. กำหนดนโยบายที่สะท้อนระดับความเสี่ยงสูงสุดที่องค์กรยอมรับได้
2. ดูแลให้มีกระบวนการหรือขั้นตอนของระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี
3. ดูแลให้มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ
4. ดูแลให้มีระบบควบคุมภายในและการรายงานข้อมูลที่ถูกต้อง และเพียงพอต่อการตัดสินใจ

สำหรับการดูแลความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy) ของสถาบันการเงินนั้น ธปท. มีแนวทางว่า
กรรมการสถาบันการเงินควรดูแลเพื่อให้แน่ใจว่าสถาบันการเงินมีเงินกองทุนที่เพียงพอ เพื่อรองรับการทำธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยดูแลให้มีกระบวนการการประเมินความเพียงพอของเงินกองทุนภายในสถาบันการเงินเอง (Internal Capital Adequacy Assessment Process : ICAAP ตามหลักการของ Basel II) ซึ่งประกอบด้วย
– Stress test : กำหนดสถานการณ์จำลองแบบ forward looking คำนึงถึงสภาพตลาดที่อาจเปลี่ยนแปลง หรือวิกฤติที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลลบรุนแรงต่อฐานะและเงินกองทุน
– Capital planning : ประมาณการระดับเงินกองทุนให้สามารถรองรับการขยายตัวทางธุรกิจ วางแผนการเพิ่มทุนให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ และรองรับผลจากการทำ Stress test โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและสภาพตลาดที่เอื้อต่อการระดมทุน

สำหรับด้านการกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของทางการ (Compliance Roles) นั้นมีแนวทางว่า
เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถประกอบธุรกิจโดยปฏิบัติตามกฎหมาย กฎและระเบียบของทางการ กรรมการควรมีหน้าที่สำคัญ ดังนี้
– ดูแลให้สถาบันการเงินให้ความสำคัญต่อกฎระเบียบต่าง ๆ ของทางการและจัดให้มีระบบควบคุมภายใน เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปโดยถูกต้อง
– ดูแลให้สถาบันการเงินให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามข้อแนะนำและคำสั่งการของผู้กำกับดูแล

ส่วนด้านการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการที่มีธรรมาภิบาลที่ดี (Good Corporate Governance) มีแนวทางว่า
เพื่อให้สถาบันการเงินมีแนวทางการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี กรรมการควรมีหน้าที่สำคัญ ดังนี้
– มีส่วนร่วมในการกำหนดกลยุทธ์และนโยบายการดำเนินธุรกิจ และติดตามการทำงานของฝ่ายจัดการให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้
– ดูแลให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการชุดย่อย และดูแลให้องค์ประกอบหรือโครงสร้างของคณะกรรมการชุดย่อยแต่ละชุดให้มีความเหมาะสม
– หลีกเลี่ยงการดำเนินการใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิด Conflict of Interest
– ดูแลให้มีการกำหนดนโยบายการให้ผลตอบแทนให้สอดคล้องกับการสร้างแรงจูงใจ แต่ไม่ควรผูกโยงกับกำไรระยะสั้นมากเกินไป โดยควรคำนึงถึงความเสี่ยงและผลเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังด้วย

หลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นมีขึ้นเพื่อที่จะเป็นกระบวนการที่ ธปท. จะใช้ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการหรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน โดยมีหลักการที่สำคัญดังนี้
– กระบวนการพิจารณามีความชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม
– ปรับปรุงลักษณะความสามารถและความเหมาะสม (Fit and Proper Criterial) ให้ชัดเจนขึ้น สอดคล้องกับ ก.ล.ต. และมาตรฐานสากล
– ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันสำหรับกรรมการ และผู้บริหารระดับสูง (Apply to All)
– Check and balance ในการใช้ดุลยพินิจของ ธปท. โดยใช้ประโยชน์จากความคิดเห็นของบุคคลภายนอก (Advisory Committee) ในกรณีจำเป็น

ธปท. ขยายคำอธิบายเกี่ยวกับความสามารถและความเหมาะสม (Fit and Proper Criterial) ของการแต่งตั้งกรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน โดยพิจารณาหลักเกณฑ์ดังนี้
1. Competence, Capability and Experiences
2. Honesty, Integrity and Reputation
3. Financial Soundness

ทั้งนี้ คำว่า
Fit หมายถึง
– Competence, Capability and Experiences : มีความรู้และความสามารถที่เหมาะสม มีประสบการณ์และทักษะที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจสถาบันการเงิน

Proper หมายถึง
– Honesty, Integrity and Reputation : มีความซื่อสัตย์ สุจริต และชื่อเสียงที่ดี ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย
– Financial Soundness : มีประวัติทางการเงินดี ไม่มีปัญหาในการชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยกับสถาบันการเงิน

ความเห็นและการวิจารณ์ของที่ประชุม รวมทั้งข้อเสนอแนะจากผู้แทนของสถาบันการเงินในเรื่องการพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน สรุปได้ดังนี้
1. ที่ประชุมได้มีการหารือในเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง ถึงเรื่องผลกระทบต่อหลักเกณฑ์ใหม่ของ ธปท.
2. ความชัดเจนของถ้อยคำที่ใช้ในการอธิบายในกรอบโครงสร้างหลักที่อาจแตกต่างกันในความหมายของถ้อยคำในรายละเอียดที่ขยายความเพิ่มเติม เมื่อเปรียบเทียบกับถ้อยคำในกรอบโครงสร้างหลักของการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่ ธปท. นำเสนอ ซึ่งอาจจะมีการตีความหมายได้แตกต่างกัน ซึ่ง ธปท. ควรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงถ้อยคำให้มีความสัมพันธ์ให้ตรงกับความต้องการของ ธปท. และข้อเสนอแนะจากสถาบันการเงิน
3. ผลของการบังคับใช้ซึ่ง ธปท. อาจประกาศใช้ตั้งแต่เดือน เมษายน 2552 เป็นต้นไป สำหรับการพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการฯ ใหม่
4. ความเห็นอื่น ๆ ที่เป็นรายละเอียดเพื่อประกอบการพิจารณาของ ธปท. ซึ่งควรจะให้เวลาสถาบันการเงินได้พิจารณามากขึ้นเพราะเป็นเรื่องสำคัญ

อนึ่ง ผู้เขียนได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมในเรื่องประเด็นอำนาจหน้าที่ของกรรมการของสถาบันการเงินที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุด บางประการที่เกี่ยวข้องกับ COSO-ERM, IT Governance และ GRC ซึ่งปรากฎใน 4 ประเด็นหลักที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุดในการพิจารณาคุณสมบัติในการทำหน้าที่ของกรรมการฯ สถาบันการเงิน สรุปดังนี้
1. Risk Management ซึ่งมีความสำคัญยิ่งในการบริหารเชิงรุกในการมองฐานะความมั่นคงของสถาบันการเงินในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบทั้ง 4 ข้อ ก็คือ Corporate Governance, Risk Management กับ Compliance ที่มีผลกระทบต่อ Capital Adequacy ซึ่งเป็นตัวหลักของการประเมินความมั่นคง ข้อ 1. ของสถาบันการเงิน นั้น ธปท. น่าจะพิจารณาเพิ่มเติมในรายละเอียดซึ่งอาจจะกำหนดเป็น Ruling, หรือแนวการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องดังนี้
1. Corporate Governance (CG หรือ GCG) ควรจะรวมเรื่อง IT Governance ตามหลักการของกรอบ COBIT (Control Objective Related to Information Technology) ใน 4 Domain หลัก ๆ ซึ่งจะครอบคลุมดุลยภาพในการบริหารการจัดการเทคโนโลยี หรือ IT กับการบริหารความเสี่ยง โดยพิจารณาผลตอบแทนที่สร้างคุณค่าเพิ่มทางด้าน Intangible Assets และ Long term Value Creation ในมุมมองต่าง ๆ ให้มากขึ้นในการพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนกับความเชื่อมั่นของ Stakeholders ควบคู่กับการพิจารณา Economic Value Assets ในการเพิ่มศักยภาพขององค์กรในระยะยาวเป็นสำคัญด้วย
2. Risk Management หรือ Enterprise Risk Management – ERM ตามกรอบของ COSO v.2 ซึ่งมี 8 องค์ประกอบหลัก ๆ ที่อาจเทียบได้กับความเสี่ยง 5 ด้านของสถาบันการเงินที่ ธปท. ใช้ในการกำกับดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงินด้วยนั้น ธปท. ควรพิจารณาแนวทางกำกับของหน่วยงานกำกับอื่นที่กำกับสถาบันการเงินนั้น ๆ ด้วยเช่น สถาบันการเงินเฉพาะกิจต่าง ๆ ควรจะนำแนวทางการกำกับของ Regulator อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาใช้เป็นมุมมองหนึ่งของการกำกับสถาบันการเงินโดยทั่วไปด้วย เพราะคณะกรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงินจะต้องเกี่ยวข้องในกรอบการกำกับดังกล่าวเช่นเดียวกัน
3. การปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ฯ ต่าง ๆ (Compliance Roles) ส่วนใหญ่ทั้ง ธปท. ในฐานะผู้กำกับ (Regulator) และสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติ (Operators) ได้เข้าใจตรงกันดีพอสมควรแล้ว จึงมีข้อพิจารณาเพียงว่าจะนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการดำเนินการดังกล่าว ควบคู่กันไปกับ Risk Management ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ Risk Convergence และการกำหนดความเสี่ยงที่สถาบันการเงินยอมรับได้ (Risk Appetite) ที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบอื่น ๆ ในลักษณะที่แยกกันไม่ได้ ในด้านการควบคุมภายในและการตรวจสอบตามฐานความเสี่ยง (Interdepence Control/Audit) ทั้งทางด้าน IT และ Non-IT
4. เนื่องจาก IT Risk มีผลต่อ Business Risk เป็นอย่างมาก และเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบและประเด็นต่าง ๆ ที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุดในการทำหน้าที่ของกรรมการฯ ซึ่งผู้กำกับ ธปท. หากเป็นไปได้ควรพิจารณาการมีส่วนร่วมของกรรมการในเรื่องดังกล่าวที่มีผลต่อความมั่นคงของสถาบันการเงิน โดยการให้แนวทางในเรื่อง ITG และ GRC ที่มีผลต่อ Good Corporate Governance, Risk Management, และในที่สุดที่มีผลกระทบต่อ Capital Adequacy ของสถาบันการเงิน ในมุมมองของการมีส่วนร่วม การมีระบบการติดตามและรายงาน การประเมินศักยภาพในการทำงานโดยรวม

การประชุมของ ธปท. เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั้ง 16 แห่ง ต่อประเด็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องธรรมาภิบาลในการพิจารณาแต่งตั้งกรรมการฯ ในครั้งนี้ นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งผู้เขียนจะได้ขยายความในมุมมองต่าง ๆ ของ IT Governance และ GRC ซึ่งเป็น Statement ใหม่ ที่อธิบายเพิ่มเติมจากองค์ประกอบโดยรวม หรือ Holistic Framework ของ Good Corporate Governance ที่เกี่ยวข้องกับ Enterprise Risk Management (COSO-ERM Framework) การควบคุมภายในและการตรวจสอบภายในตามฐานความเสี่ยงนั่นเอง


หลักการกับหลักเกณฑ์ธรรมาภิบาลใหม่ของสถาบันการเงินบางมุมมองของ ธปท.

มีนาคม 7, 2009

ผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมรับฟังความคิดเห็นในหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์ธรรมาภิบาลของสถาบันการเงิน (Corporate Governance for Financial Institutions) ของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2552 โดย

ธปท. จะมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องธรรมาภิบาลเพื่อการบริหารงานของสถาบันการเงิน เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริหารระดับประธาน คณะกรรมการชุดต่าง ๆ ของสถาบันการเงิน จำนวน 16 แห่งเข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของธนาคารแห่งประเทศไทย ในการออกมาตรการกำกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการและผู้บริหารของสถาบันการเงิน ซึ่งมีรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตาม พรบ. ธุรกิจสถาบันการเงิน เช่น

– คุณสมบัติต้องห้ามของกรรมการ
– การขอความเห็นชอบต่อ ธปท. ก่อนการแต่งตั้ง
– ความรับผิดชอบของกรรมการในการบริหารงานงานสถาบันการเงิน
– โครงสร้างคณะกรรมการและคณะกรรมการชุดย่อย
– คุณสมบัติของกรรมการอิสระ
– การเป็นกรรมการในบริษัทอื่น
– การแจ้งการเปลี่ยนแปลง
– การจัดส่งรายงานการประชุมคณะกรรมการ

ทั้งนี้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับ
หลักการและเหตุผล (Rationale and Principle)
– เพื่อกำหนดกระบวนการในทางปฏิบัติของสถาบันการเงิน และ ธปท. ให้เป็นไปตาม พรบ. ธุรกิจสถาบันการเงิน โดยยึดหลักการที่จะต้องมีความโปร่งใส ความชัดเจน ความเป็นธรรม และความเสมอภาคกัน

กระบวนการในการดำเนินการ (Process)
– คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) จึงได้อนุมัติในหลักการให้ดำเนินการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ธรรมาภิบาลของสถาบันการเงิน ใน 2 เรื่อง ดังนี้
1. เรื่อง อำนาจหน้าที่ของกรรมการของสถาบันการเงินที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุด (เพื่อการตรวจสอบตามกฎหมาย)
2. เรื่อง หลักเกณฑ์และกระบวนการพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน

ประเด็นที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุดในการทำหน้าที่ของกรรมการของสถาบันการเงิน มี 4 ประเด็น ซึ่ง ธปท. จะใช้เป็นแนวทางในการกำกับและตรวจสอบมีดังนี้

อำนาจหน้าที่ของกรรมการสถาบันการเงินที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุด
1. Risk Management
2. Capital Adequacy
3. Compliance Roles
4. Good Corporate Governance

ทั้งนี้ ธปท. จะให้ความสำคัญของบทบาทกรรมการในประเด็นการมีส่วนร่วม การมีระบบการติดตาม การประเมินผลและคุณภาพการจัดการตามหัวข้อ ทั้ง 4 ว่ากรรมการมีบทบาทเพียงใดเป็นสำคัญ

เพื่อให้สถาบันการเงินมีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี และมีประสิทธิภาพ กรรมการสถาบันการเงินควรมีหน้าที่สำคัญ 4 ประการ ดังนี้
1. กำหนดนโยบายที่สะท้อนระดับความเสี่ยงสูงสุดที่องค์กรยอมรับได้
2. ดูแลให้มีกระบวนการหรือขั้นตอนของระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี
3. ดูแลให้มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ
4. ดูแลให้มีระบบควบคุมภายในและการรายงานข้อมูลที่ถูกต้อง และเพียงพอต่อการตัดสินใจ

สำหรับการดูแลความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy) ของสถาบันการเงินนั้น ธปท. มีแนวทางว่า
กรรมการสถาบันการเงินควรดูแลเพื่อให้แน่ใจว่าสถาบันการเงินมีเงินกองทุนที่เพียงพอ เพื่อรองรับการทำธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยดูแลให้มีกระบวนการการประเมินความเพียงพอของเงินกองทุนภายในสถาบันการเงินเอง (Internal Capital Adequacy Assessment Process : ICAAP ตามหลักการของ Basel II) ซึ่งประกอบด้วย
– Stress test : กำหนดสถานการณ์จำลองแบบ forward looking คำนึงถึงสภาพตลาดที่อาจเปลี่ยนแปลง หรือวิกฤติที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลลบรุนแรงต่อฐานะและเงินกองทุน
– Capital planning : ประมาณการระดับเงินกองทุนให้สามารถรองรับการขยายตัวทางธุรกิจ วางแผนการเพิ่มทุนให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ และรองรับผลจากการทำ Stress test โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและสภาพตลาดที่เอื้อต่อการระดมทุน

สำหรับด้านการกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของทางการ (Compliance Roles) นั้นมีแนวทางว่า
เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถประกอบธุรกิจโดยปฏิบัติตามกฎหมาย กฎและระเบียบของทางการ กรรมการควรมีหน้าที่สำคัญ ดังนี้
– ดูแลให้สถาบันการเงินให้ความสำคัญต่อกฎระเบียบต่าง ๆ ของทางการและจัดให้มีระบบควบคุมภายใน เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปโดยถูกต้อง
– ดูแลให้สถาบันการเงินให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามข้อแนะนำและคำสั่งการของผู้กำกับดูแล

ส่วนด้านการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการที่มีธรรมาภิบาลที่ดี (Good Corporate Governance) มีแนวทางว่า
เพื่อให้สถาบันการเงินมีแนวทางการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี กรรมการควรมีหน้าที่สำคัญ ดังนี้
– มีส่วนร่วมในการกำหนดกลยุทธ์และนโยบายการดำเนินธุรกิจ และติดตามการทำงานของฝ่ายจัดการให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้
– ดูแลให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการชุดย่อย และดูแลให้องค์ประกอบหรือโครงสร้างของคณะกรรมการชุดย่อยแต่ละชุดให้มีความเหมาะสม
– หลีกเลี่ยงการดำเนินการใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิด Conflict of Interest
– ดูแลให้มีการกำหนดนโยบายการให้ผลตอบแทนให้สอดคล้องกับการสร้างแรงจูงใจ แต่ไม่ควรผูกโยงกับกำไรระยะสั้นมากเกินไป โดยควรคำนึงถึงความเสี่ยงและผลเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังด้วย

หลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นมีขึ้นเพื่อที่จะเป็นกระบวนการที่ ธปท. จะใช้ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการหรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน โดยมีหลักการที่สำคัญดังนี้
– กระบวนการพิจารณามีความชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม
– ปรับปรุงลักษณะความสามารถและความเหมาะสม (Fit and Proper Criterial) ให้ชัดเจนขึ้น สอดคล้องกับ ก.ล.ต. และมาตรฐานสากล
– ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันสำหรับกรรมการ และผู้บริหารระดับสูง (Apply to All)
– Check and balance ในการใช้ดุลยพินิจของ ธปท. โดยใช้ประโยชน์จากความคิดเห็นของบุคคลภายนอก (Advisory Committee) ในกรณีจำเป็น

ธปท. ขยายคำอธิบายเกี่ยวกับความสามารถและความเหมาะสม (Fit and Proper Criterial) ของการแต่งตั้งกรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน โดยพิจารณาหลักเกณฑ์ดังนี้
1. Competence, Capability and Experiences
2. Honesty, Integrity and Reputation
3. Financial Soundness

ทั้งนี้ คำว่า
Fit หมายถึง
– Competence, Capability and Experiences : มีความรู้และความสามารถที่เหมาะสม มีประสบการณ์และทักษะที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจสถาบันการเงิน

Proper หมายถึง
– Honesty, Integrity and Reputation : มีความซื่อสัตย์ สุจริต และชื่อเสียงที่ดี ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย
– Financial Soundness : มีประวัติทางการเงินดี ไม่มีปัญหาในการชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยกับสถาบันการเงิน

ความเห็นและการวิจารณ์ของที่ประชุม รวมทั้งข้อเสนอแนะจากผู้แทนของสถาบันการเงินในเรื่องการพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน สรุปได้ดังนี้
1. ที่ประชุมได้มีการหารือในเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง ถึงเรื่องผลกระทบต่อหลักเกณฑ์ใหม่ของ ธปท.
2. ความชัดเจนของถ้อยคำที่ใช้ในการอธิบายในกรอบโครงสร้างหลักที่อาจแตกต่างกันในความหมายของถ้อยคำในรายละเอียดที่ขยายความเพิ่มเติม เมื่อเปรียบเทียบกับถ้อยคำในกรอบโครงสร้างหลักของการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่ ธปท. นำเสนอ ซึ่งอาจจะมีการตีความหมายได้แตกต่างกัน ซึ่ง ธปท. ควรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงถ้อยคำให้มีความสัมพันธ์ให้ตรงกับความต้องการของ ธปท. และข้อเสนอแนะจากสถาบันการเงิน
3. ผลของการบังคับใช้ซึ่ง ธปท. อาจประกาศใช้ตั้งแต่เดือน เมษายน 2552 เป็นต้นไป สำหรับการพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการฯ ใหม่
4. ความเห็นอื่น ๆ ที่เป็นรายละเอียดเพื่อประกอบการพิจารณาของ ธปท. ซึ่งควรจะให้เวลาสถาบันการเงินได้พิจารณามากขึ้นเพราะเป็นเรื่องสำคัญ

อนึ่ง ผู้เขียนได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมในเรื่องประเด็นอำนาจหน้าที่ของกรรมการของสถาบันการเงินที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุด บางประการที่เกี่ยวข้องกับ COSO-ERM, IT Governance และ GRC ซึ่งปรากฎใน 4 ประเด็นหลักที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุดในการพิจารณาคุณสมบัติในการทำหน้าที่ของกรรมการฯ สถาบันการเงิน สรุปดังนี้
1. Risk Management ซึ่งมีความสำคัญยิ่งในการบริหารเชิงรุกในการมองฐานะความมั่นคงของสถาบันการเงินในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบทั้ง 4 ข้อ ก็คือ Corporate Governance, Risk Management กับ Compliance ที่มีผลกระทบต่อ Capital Adequacy ซึ่งเป็นตัวหลักของการประเมินความมั่นคง ข้อ 1. ของสถาบันการเงิน นั้น ธปท. น่าจะพิจารณาเพิ่มเติมในรายละเอียดซึ่งอาจจะกำหนดเป็น Ruling, หรือแนวการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องดังนี้
1. Corporate Governance (CG หรือ GCG) ควรจะรวมเรื่อง IT Governance ตามหลักการของกรอบ COBIT (Control Objective Related to Information Technology) ใน 4 Domain หลัก ๆ ซึ่งจะครอบคลุมดุลยภาพในการบริหารการจัดการเทคโนโลยี หรือ IT กับการบริหารความเสี่ยง โดยพิจารณาผลตอบแทนที่สร้างคุณค่าเพิ่มทางด้าน Intangible Assets และ Long term Value Creation ในมุมมองต่าง ๆ ให้มากขึ้นในการพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนกับความเชื่อมั่นของ Stakeholders ควบคู่กับการพิจารณา Economic Value Assets ในการเพิ่มศักยภาพขององค์กรในระยะยาวเป็นสำคัญด้วย
2. Risk Management หรือ Enterprise Risk Management – ERM ตามกรอบของ COSO v.2 ซึ่งมี 8 องค์ประกอบหลัก ๆ ที่อาจเทียบได้กับความเสี่ยง 5 ด้านของสถาบันการเงินที่ ธปท. ใช้ในการกำกับดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงินด้วยนั้น ธปท. ควรพิจารณาแนวทางกำกับของหน่วยงานกำกับอื่นที่กำกับสถาบันการเงินนั้น ๆ ด้วยเช่น สถาบันการเงินเฉพาะกิจต่าง ๆ ควรจะนำแนวทางการกำกับของ Regulator อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาใช้เป็นมุมมองหนึ่งของการกำกับสถาบันการเงินโดยทั่วไปด้วย เพราะคณะกรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงินจะต้องเกี่ยวข้องในกรอบการกำกับดังกล่าวเช่นเดียวกัน
3. การปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ฯ ต่าง ๆ (Compliance Roles) ส่วนใหญ่ทั้ง ธปท. ในฐานะผู้กำกับ (Regulator) และสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติ (Operators) ได้เข้าใจตรงกันดีพอสมควรแล้ว จึงมีข้อพิจารณาเพียงว่าจะนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการดำเนินการดังกล่าว ควบคู่กันไปกับ Risk Management ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ Risk Convergence และการกำหนดความเสี่ยงที่สถาบันการเงินยอมรับได้ (Risk Appetite) ที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบอื่น ๆ ในลักษณะที่แยกกันไม่ได้ ในด้านการควบคุมภายในและการตรวจสอบตามฐานความเสี่ยง (Interdepence Control/Audit) ทั้งทางด้าน IT และ Non-IT
4. เนื่องจาก IT Risk มีผลต่อ Business Risk เป็นอย่างมาก และเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบและประเด็นต่าง ๆ ที่ ธปท. ให้ความสำคัญสูงสุดในการทำหน้าที่ของกรรมการฯ ซึ่งผู้กำกับ ธปท. หากเป็นไปได้ควรพิจารณาการมีส่วนร่วมของกรรมการในเรื่องดังกล่าวที่มีผลต่อความมั่นคงของสถาบันการเงิน โดยการให้แนวทางในเรื่อง ITG และ GRC ที่มีผลต่อ Good Corporate Governance, Risk Management, และในที่สุดที่มีผลกระทบต่อ Capital Adequacy ของสถาบันการเงิน ในมุมมองของการมีส่วนร่วม การมีระบบการติดตามและรายงาน การประเมินศักยภาพในการทำงานโดยรวม

การประชุมของ ธปท. เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั้ง 16 แห่ง ต่อประเด็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องธรรมาภิบาลในการพิจารณาแต่งตั้งกรรมการฯ ในครั้งนี้ นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งผู้เขียนจะได้ขยายความในมุมมองต่าง ๆ ของ IT Governance และ GRC ซึ่งเป็น Statement ใหม่ ที่อธิบายเพิ่มเติมจากองค์ประกอบโดยรวม หรือ Holistic Framework ของ Good Corporate Governance ที่เกี่ยวข้องกับ Enterprise Risk Management (COSO-ERM Framework) การควบคุมภายในและการตรวจสอบภายในตามฐานความเสี่ยงนั่นเอง


ITG/GRC กับมุมมองการบริหารความเสี่ยงเพื่อสร้างสรรสาระ

กุมภาพันธ์ 28, 2009

ในส่วนนี้ จะเป็นการนำเสนอมุมมองการบริหารความเสี่ยงจากสรรสาระที่เกี่ยวข้อง โดยที่ผู้เขียนจะวิเคราะห์เหตุการณ์ ข่าวสารที่น่าสนใจต่าง ๆ ในมุมมองของการบริหารการจัดการความเสี่ยงเพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มและการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งผู้เขียนจะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป

โปรดติดตาม…


ITG/GRC กับมุมมองการบริหารความเสี่ยงเพื่อสร้างสรรสาระ

กุมภาพันธ์ 28, 2009

ในส่วนนี้ จะเป็นการนำเสนอมุมมองการบริหารความเสี่ยงจากสรรสาระที่เกี่ยวข้อง โดยที่ผู้เขียนจะวิเคราะห์เหตุการณ์ ข่าวสารที่น่าสนใจต่าง ๆ ในมุมมองของการบริหารการจัดการความเสี่ยงเพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มและการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งผู้เขียนจะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป

โปรดติดตาม…