ความเสี่ยงจากเหตุการณ์ และความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการจัดการ ด้าน IT บางมุมมอง

สิงหาคม 8, 2010

การจัดการ การควบคุม เกี่ยวกับความเสี่ยงจากเหตุการณ์และ/หรือการกระทำ ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ ที่เกิดจากการประเมิน หรือคาดคะเนเหตุการณ์ หรือปัจจัยเสี่ยงผิดพลาด หรือระบุความเสี่ยงไม่ตรงกับต้นเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยง และปัจจัยที่เกิดจาก Operatinal Risk [P+P+T] ที่เกี่ยวข้องกับ P-People, P-Process, T-Technology ที่เกือบทุกองค์กรมีจุดอ่อน หรือปัญหาด้านนี้สูงสุด แม้กระทั่งในต่างประเทศก็มีปัญหานี้มากเช่นกันนั้น

ความเข้าใจในกระบวนการบริหารความเสี่ยงจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะเรื่องการกำหนด Risk appetite และ Risk Tolerlance ทั้งด้าน Non-IT และ IT โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Risk IT และ IT Risk ที่มีผลกระทบต่อ Operational Risk ที่องค์กรของรัฐยังมีปัญหาด้านนี้เนื่องจาก COSO-ERM ไม่ได้กล่าวถึงมากนัก และกฎเกณฑ์การประเมินผล ก็ยังไม่มีแนวทางนี้อย่างชัดเจน และเพียงพอกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เพิ่มขึ้นในทุกระดับของการจัดการ

วันนี้ ผมจึงนำเรื่องนี้ที่เกี่ยวข้องกับ IT Risk ที่ยังไม่เกี่ยวข้องกับเทคนิค มายกตัวอย่างให้ท่านผู้อ่านและผู้ปฎิบัติงาน ได้เห็นภาพบางมุมมอง ที่อาจปิดจุดอ่อนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยงบางประการ เพื่อสร้างความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้น ดังนี้ครับ

ความเสี่ยงจากเหตุการณ์ และ/หรือการกระทำ
1. การวิเคราะห์และประเมินผลได้และเสียที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายนอก ทั้งทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมต่าง ๆ ของบุคลากร การควบคุม การตรวจสอบ การบริหารความเสี่ยงที่ไม่เหมาะสม และไม่อาจตอบสนองความต้องการ หรือกลยุทธ์และเป้าหมายที่เปลี่ยนแปลงไปได้ทันเวลา++

2. ผู้บริหารระดับอาวุโสละเลยความรับผิดชอบ และการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบงาน โดยอ้างเหตุผลว่า เป็นเรื่องทางเทคนิคเกินกว่าจะทำความเข้าใจได้ และมิได้มอบหมายให้มีกระบวนการพัฒนางานอย่างเป็นระบบ ที่ต้องมีการประเมิน Risk IT และ IT Risk ทุกกิจกรรมในทุกขั้นขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง++

3. ผู้วิเคราะห์ระบบงานไม่เข้าใจระบบงาน และความต้องการของผู้ใช้ข้อมูลดีพอ รวมทั้งการใช้เทคนิคทางการประมวลผลข้อมูลที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้คู่มือการปฏิบัติงาน และโปรแกรมงานขาดสาระที่สำคัญไป หรือเกินความเป็นจริง++

4. การออกแบบระบบงานผิดพลาด ทั้ง ๆ ที่มีรายละเอียดความต้องการของผู้ใช้ข้อมูล และด้านเทคนิคครบถ้วน สาเหตุประการหนึ่งเนื่องมาจาก การใช้วิจารณญาณที่ต่างกันของผู้ออกแบบระบบงานแต่ละคน++

5. พนักงานที่มีส่วนในการออกแบบระบบงานไม่มีความสามารถ หรือในกรณีที่ซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้งาน ก็ได้มีการแก้ไขและดัดแปลงโปรแกรมหลักให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานแบบเดิม ๆ ที่ผู้ใช้เคยชิน โดยไม่คำนึงผลกระทบที่จะตามมา++

6. ผู้วิเคราะห์ระบบงานและผู้เขียนโปรแกรม ออกแบบระบบงานและโปรแกรมตามความพอใจของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงผู้ใช้ข้อมูล ซึ่งเป็นเจ้าของระบบงาน หรือคิดว่าตนเองเข้าใจความต้องการดีกว่าผู้ใช้ข้อมูลเอง จนบางครั้งออกแบบระบบงานที่ยากเกินความสามารถของผู้ใช้ข้อมูล หรือในกรณีองค์กรซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้งาน แต่ผู้ใช้ไม่เข้าใจฟังก์ชัน (Function) หรือหน้าที่การทำงานของโปรแกรม จึงมีความพยายามในการแก้ไขและดัดแปลงระบบงานใหม่++

7. ขาดการสื่อสารและการทำความเข้าใจระหว่างฝ่ายพัฒนาระบบงาน ฝ่ายผู้ใช้ และฝ่ายผู้บริหารระดับสูงที่ดีเพียงพอ++

8. ไม่ได้วางหลักเกณฑ์ไว้ว่า เมื่อใดจึงควรจะหยุดการพัฒนาระบบนั้นได้แล้ว เช่น หากมีการใช้งบประมาณเกิน 10% จะต้องหยุดหรือมีกฎหมายใหม่ ๆ เกิดขึ้น เนื่องจากจะมีผลทำให้ได้รับผลประโยชน์ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เสียไป++

9. การที่ระบบงานมีจุดอ่อนให้พนักงานผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบงาน บางคนพยายามสร้างวิธีการคดโกง หรือทำลายระบบงานนั้นระหว่างการพัฒนาระบบงาน เช่น ผู้เขียนโปรแกรมอาจเขียนบางส่วนของโปรแกรม ให้สามารถล่วงล้ำการควบคุมของโปรแกรมระบบงานอื่น เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น โดยวิธีนี้ผู้เขียนโปรแกรมไม่จำเป็นต้องเข้าไปในศูนย์คอมพิวเตอร์ ก็สามารถกระทำการทุจริต หรือทำความเสียหายให้กับองค์กรได้ ++

10. ระบบงานซึ่งไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขทางด้านเทคนิค หรือทางด้านค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับความต้องการขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเท่ากับเป็นการบีบบังคับ หรือกดให้องค์กรอยู่ในสภาพเช่นนั้นตลอด ไม่สามารถปรับตัวให้ทันต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

11. แนวความคิดและความเข้าใจของพนักงานผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบงานแต่ละคน แตกต่างกัน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่บรรลุเป้าหมายโดยรวมขององค์กร++

12. ไม่เข้าใจในภาพรวมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการไม่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของผลกระทบต่าง ๆ จากการเปลี่ยนแปลงไว้ด้วยกันทั่วทั้งองค์กร++

ตัวอย่างบางประการที่กล่าวข้างต้นเป็นสิ่งที่อาจป้องกันได้ ทั้งโดยการกำกับงานของ Regulators และ ในการปฎิบัติงานของผู้บริหารของแต่ละองค์กร ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้

1. สูญเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น เนื่องจากการพัฒนาระบบงานไม่คุ้มค่า (Unjustified Systems) และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการแข่งขันในทางธุรกิจ อันเนื่องมาจากการพัฒนาระบบงาน ที่มิได้สนองตอบความต้องการขององค์กรที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง หรือเนื่องจากผู้ใช้ข้อมูลไม่สามารถปฏิบัติงานตามที่ออกแบบไว้ได้ ทำให้ระบบงานนั้นถูกละเลยโดยสิ้นเชิง หรือทำให้การประกอบธุรกิจขององค์กรชะงักงันได้ รวมถึงกรณีการพัฒนาระบบงานขึ้นใหม่ทั้งหมด แทนที่จะเปลี่ยนแปลงเพียงบางส่วน ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น++

2. นอกจากจะสูญเสียค่าใช้จ่ายและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านการแข่งขันแล้ว ยังทำให้ฝ่ายบริหารขององค์กรตัดสินใจผิดพลาดด้วย เนื่องจากระบบที่ไม่เอื้ออำนวยให้มี “สารสนเทศ” ที่เหมาะสม เพื่อการบริหารและการจัดการที่ดี ++

3. การบันทึกข้อมูลทางบัญชีผิดพลาดจากตรรกะ (Logic) หรือใช้ระบบบัญชีไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ทำให้ผู้บริหารตัดสินใจผิดพลาด หรือเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น โดยเฉพาะการยกระดับ (Upgrade) ระบบงานหลักในภายหลัง โดยบริษัทผู้พัฒนาโปรแกรมไม่อาจดำเนินการได้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น หากมีการแก้ไขและดัดแปลงโปรแกรมหลัก ๆ ++

4. สำหรับความเสียหายที่เกิดจากการแก้ไขและ/หรือดัดแปลงนั้น ก็อาจเกิด “จุดอ่อน” ตามมาได้มากมาย และเกินกว่าที่ผู้บริหารและผู้ใช้จะคาดคะเนได้++

5. ระบบงานที่ได้ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการขององค์กรได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งมีผลทำให้เกิด – การตัดสินใจผิดพลาด – ผลตอบแทนการพัฒนาระบบงานใหม่ไม่คุ้มค่า – เสียประโยชน์จากการแข่งขัน – การประมวลผลข้อมูลหยุดชะงัก – มีค่าใช้จ่ายมากเกินไป – การทุจริต – การประมวลผลผิดพลาด – การบันทึกรายการบัญชีไม่ถูกต้อง

6. การบันทึกข้อมูลทางบัญชีผิดพลาดก่อให้เกิดการทุจริต หรือทรัพย์สินสูญหายหรือถูกทำลาย และอาจมีความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ++

7. เกิดปัญหาซ้ำซาก ทำให้องค์กรตกอยู่ในวังวนของปัญหาต่าง ๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น++

8. การไม่เข้าใจผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศในภาพโดยรวม อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่าง ๆ ได้ในลักษณะลูกโซ่ของปัญหา++

ตามที่ได้สรุปมาในข้อต้น ๆ ได้ทั้งหมด จนถึงขั้นวิกฎติก็เป็นไปได้++ การจัดการ/การควบคุมบางประการ

1. กำหนดประเภทของกิจกรรม และเป้าหมายหลักในการพัฒนาระบบงานให้เป็นมาตรฐาน ทันกับเหตุการณ์ในลักษณะเชิงรุก ที่ผู้เกี่ยวข้องควรเข้าใจกระบวนการบริหารความเสี่ยง การควบคุม และการตรวจสอบ ทางด้าน IT และ Non-IT รวมทั้งการบูรณาการอย่างเหมาะสม++

2. ให้ผู้บริหารระดับสูงและผู้ใช้ข้อมูล ทบทวนและประเมินผลงานทุกขั้นตอนของการพัฒนาระบบงาน เมื่อพบว่ามีข้อที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างร้ายแรงในขั้นตอนใด ให้สั่งหยุดการพัฒนาขั้นตอนถัดไปทันที จนกว่าจะแก้ไขแล้ว หรือ

3. ผู้บริหารระดับสูงอาจมอบหมายให้ผู้ตรวจสอบภายในขององค์กร เป็นผู้ทำหน้าที่ทบทวนและประเมินผลขั้นตอนของการพัฒนาระบบงานทุกระบบ โดยเฉพาะความเหมาะสมของการควบคุมภายในของระบบงาน การตรวจสอบและการแก้ไขอัตโนมัติโดยระบบ (Automated Solutions) อย่างเหมาะสมและทันเวลา ++

4. กำหนดประเภทของกิจกรรม และเป้าหมายหลัก ในการพัฒนาระบบงานให้เป็นมาตรฐาน จากผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในระบบงาน ++

5. การจ้างบุคคลที่ได้รับการอบรมและฝึกฝนทางด้านวิเคราะห์ระบบงานโดยเฉพาะ หรือส่งพนักงานเข้ารับการอบรม และฝึกฝนด้านเทคนิคเพิ่มเติมอยู่เสมอ

6. ให้จัดทำเอกสารประกอบการวิเคราะห์ทุกขั้นตอน ดังนี้
– รายงานการศึกษาวิเคราะห์ระบบงาน
– รายงานความต้องการของผู้ใช้ที่มีต่อระบบงาน
– รายงานเกี่ยวกับเทคนิคต่าง ๆ ที่จะใช้ในระบบงาน

7. ให้ผู้ใช้ข้อมูลเป็นผู้ทดสอบความถูกต้องของระบบงานที่เรียกว่า การรับรองระบบงาน (Acceptance Test) หรือมอบหมายให้ผู้ตรวจสอบภายในทำหน้าที่ทดสอบระบบ++

8. ให้ผู้ออกแบบระบบงานจัดทำเอกสารประกอบการใช้งานระบบโดยละเอียด

9. การว่าจ้างบุคคลที่มีความสามารถเฉพาะ หรือส่งพนักงานขององค์กรไปเข้ารับการอบรม และฝึกฝนทางด้านเทคนิคเพิ่มเติมอยู่เสมอ ++

10. มอบหมายให้ผู้ควบคุมระบบงานด้านการวิเคราะห์ และการเขียนโปรแกรมทบทวนผลลัพธ์ของการดำเนินงาน พัฒนาระบบทุกขั้นตอน ก่อนส่งให้ฝ่ายบริหารและผู้ใช้ข้อมูลให้ความเห็นชอบ ++

11. การกำหนดให้ฝ่ายพัฒนาระบบงาน/หัวหน้าโครงการพัฒนาระบบงาน (Project Leader) จัดทำแผนในการพัฒนาระบบงานและตารางการปฏิบัติงานแต่ละโครงการ (Project Planning) พร้อมทั้งมอบหมายงานให้พนักงานที่อยู่ในความรับผิดชอบ ทำการประเมินผลงานตามที่ปรากฎในแผน และจัดรายงานความก้าวหน้าของโครงการ เพื่อเสนอต่อฝ่ายผู้ใช้และฝ่ายบริหารระดับสูงเป็นระยะ ๆ ++

12. มอบหมายให้ผู้ควบคุมงานทบทวนผลลัพธ์ที่ได้จากงานทุกขั้นตอน++

13. มอบหมายให้ผู้ตรวจสอบภายใน หรือผู้ออกแบบระบบงานทบทวนระบบงานนั้นอีกครั้ง หลักจากที่ได้นำระบบไปใช้กับงานจริงแล้วประมาณ 3 – 6 เดือน เพื่อค้นหาข้อผิดพลาดที่ยังมีอยู่ ++แต่ก็มีประเด็นที่พึงพิจารณาและควรระวังหลายประการ เช่น มาตรฐานและศักยภาพของผู้ตรวจสอบ และความอิสระ++

14. ให้ฝ่ายพัฒนาระบบงานจัดทำเอกสารประกอบการปฏิบัติงานทุกขั้นตอนให้เรียบร้อย โดยละเอียด เพื่อส่งให้ฝ่ายผู้ใช้ข้อมูลและฝ่ายบริหารระดับสูงทบทวนได้ทุกขณะเมื่อมี ปัญหาเกิดขึ้น ++

15. ให้ฝ่ายพัฒนาระบบงานจัดทำแผนงานและเป้าหมายของงานแต่ละขั้นตอน ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานแก่พนักงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ
– ขั้นตอนการวางแผนระบบ
– ขั้นตอนการพัฒนาระบบ
– ขั้นตอนการติดตั้งในงานระบบ

ความเห็นและข้อแนะนำดังกล่าว น่าจะมีปัญหาในทางปฎิบัติ หรือมาตรฐานการปฎิบัติงาน++
ท่านลองพิจารณาดูนะครับว่าข้อใดที่เหมาะสม ข้อใดที่น่าจะไม่เหมาะสมเพราะขัดกับหลักการและมาตรฐานการปฎิบัติงาน และ

ในองค์กรที่ท่านบริหารอยู่มีข้อใดที่แสดงถึงความไม่รับผิดชอบของผู้ที่ เกี่ยวข้อง..?
วันนี้จึงจบลงด้วยแง่คิด ที่ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำในแง่มุมของการบริการความเสี่ยงต่อไป


การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีจุดอ่อนและอาจนำไปสู่ความเสียหาย

กรกฎาคม 2, 2009

แน่นอนละครับว่า การปฏิบัติงานต่าง ๆ ทางด้านคอมพิวเตอร์ การพัฒนาระบบงาน รวมถึงจุดอ่อนของการพัฒนาระบบงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อาจก่อให้เกิดการทุจริตในรูปแบบต่าง ๆ ได้ ฉะนั้น ผมว่าการปฏิบัติงานในเชิงป้องกันปัญหาก่อนที่ปัญหาจะเกิดย่อมดีกว่าการที่ปล่อยให้เกิดปัญหาแล้วมาแก้ไขในภายหลังครับ

ขั้นตอนการพัฒนางานโดยองค์กรเองหรือว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญภายนอก รวมทั้งการ Customize หรือ Modify โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อการใช้งานทั่วไป อาจสร้างปัญหาให้องค์กรได้ โดยมีเหตุการณ์/การกระทำบางประการที่จะสร้างความเสียหายให้กับองค์กร ซึ่งมีแนวทางการควบคุมและจัดการกับความเสี่ยงได้ระดับหนึ่งดังนี้

ความเสี่ยงจากเหตุการณ์และ/หรือการกระทำ
1. การวิเคราะห์และประเมินผลได้และเสียที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายนอก ทั้งทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมต่าง ๆ ของบุคลากร การควบคุม การตรวจสอบ การบริหารความเสี่ยงที่ไม่เหมาะสม และไม่อาจตอบสนองความต้องการหรือกลยุทธ์และเป้าหมายที่เปลี่ยนแปลงไปได้ทันเวลา

2. ผู้บริหารระดับอาวุโสละเลยความรับผิดชอบและการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบงานโดยอ้างเหตุผลว่าเป็นเรื่องทางเทคนิค เกินกว่าจะทำความเข้าใจได้ และมิได้มอบหมายให้มีกระบวนการพัฒนางานอย่างมีระบบที่ต้องมีการประเมินงานทุกขั้นตอน

3. ผู้วิเคราะห์ระบบงานไม่เข้าใจระบบงานและความต้องการของผู้ใช้ข้อมูล (Users) ดีพอ รวมทั้งการใช้เทคนิคทางการประมวลข้อมูลที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้คู่มือการปฏิบัติงานและโปรแกรมงานขาดสาระที่สำคัญไปหรือเกินความเป็นจริง

4. การออกแบบระบบงานผิดพลาด ทั้ง ๆ ที่มีรายละเอียดความต้องการของผู้ใช้ข้อมูลและด้านเทคนิคครบถ้วน สาเหตุประการหนึ่งเนื่องมาจากการใช้วิจารณญาณที่ต่างกันของผู้ออกแบบระบบงานแต่ละคน

5. พนักงานที่มีส่วนในการออกแบบระบบงานไม่มีความสามารถ หรือในกรณีที่ซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้งาน ก็ได้มีการ Modify และ/หรือ Customize ระบบงานหลักที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนงานปฏิบัติงานของโปรแกรมหลักให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานแบบเดิม ๆ ที่ผู้ใช้เคยชิน

6. ผู้วิเคราะห์ระบบงานและผู้เขียนโปรแกรมออกแบบระบบงานและโปรแกรมตามความพอใจของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงผู้ใช้ข้อมูลซึ่งเป็น เจ้าของระบบงาน หรือคิดว่าตนเองเข้าใจความต้องการดีกว่าผู้ใช้ข้อมูลเอง จนบางครั้งการออกแบบระบบงานที่ยากเกินความสามารถของผู้ใช้ข้อมูลหรือ

ในกรณีองค์กรซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้งาน แต่ผู้ใช้ไม่เข้าใจ “function” การทำงานต่าง ๆ ดีพอ จึงมีความพยายามในการ “Modify” และ/หรือ “Customize” ระบบงานใหม่

7. การสื่อสารความเข้าใจระหว่างฝ่ายพัฒนาระบบงาน ฝ่ายผู้ใช้ข้อมูลและฝ่ายบริหารระดับสูงอยู่ในสภาพที่ใช้ไม่ได้ หรือต้องปรับปรุงอีกมาก

8. ไม่ได้วางหลักเกณฑ์ไว้ว่าเมื่อใดจึงควรจะหยุดการพัฒนาระบบนั้นได้แล้ว เช่น การคาดคะเนค่าใช้จ่ายไว้ต่ำเกินไปมาก ความต้องการของหน่วยงานเปลี่ยนแปลงไป หรือมีกฎหมายใหม่ ๆ เกิดขึ้น จะมีผลทำให้ได้รับผลประโยชน์ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เสียไป

9. มีช่องทางล่อใจให้พนักงานผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบงานบางคนพยายามสร้างวิธีการคดโกงหรือทำลายระบบงานนั้นระหว่างการพัฒนาระบบงาน เช่น ผู้เขียนโปรแกรมอาจเขียนบางส่วนของโปรแกรมให้สามารถล่วงล้ำการควบคุมของโปรแกรมระบบงานอื่นเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยวิธีนี้ผู้เขียนโปรแกรมไม่จำเป็นต้องเข้าไปในศูนย์คอมพิวเตอร์ก็สามารถฉ้อฉลข้อมูลได้

10. ระบบงานซึ่งไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขทางด้านเทคนิคหรือทางด้านค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับความต้องการขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่ง เท่ากับเป็นการบีบบังคับหรือกดให้องค์กรอยู่ในสภาพเช่นนั้นตลอดไม่สามารถปรับตัวให้ทันต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

11. 1) แนวความคิดและความเข้าใจของพนักงานผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบงานแต่ละคนแตกต่างกัน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่บรรลุเป้าหมาย
2) ไม่เข้าใจในภาพรวมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการไม่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของผลกระทบต่าง ๆ จากการเปลี่ยนแปลงไว้ด้วยกันทั่วทั้งองค์กร

ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้
1. สูญเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น เนื่องจากการพัฒนาระบบงานไม่คุ้มค่า (Unjustified systems) และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการ แข่งขันในทางธุรกิจอันเนื่องมาจากการพัฒนาระบบงานที่มิได้สนองตอบความต้องการขององค์กรที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง

2. นอกจากจะสูญเสียค่าใช้จ่ายและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านการแข่งขันแล้ว ยังทำให้ฝ่ายบริหารขององค์การตัดสินใจผิดพลาดด้วยจากระบบงานที่ไม่เอื้ออำนวยให้มี “สารสนเทศ” ที่เหมาะสมเพื่อการบริหารและการจัดการที่ดีด้วย

3. สูญเสียค่าใช้จ่ายและทำให้ฝ่ายบริหารตัดสินใจผิดพลาดได้ในขั้นตอนที่สำคัญ ๆ ซึ่งจะมีความเสียหายตามมาจากความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อีกมาก

4. การบันทึกข้อมูลทางบัญชีผิดพลาดจาก Logic หรือใช้ระบบการบัญชีที่ไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ทำให้ผู้บริหารตัดสินใจผิดพลาดหรือเสียค่าใช้จ่ายในการประมวลผลเกินความจำเป็น

5. การบันทึกข้อมูลทางบัญชีผิดพลาดหรือระบบบัญชีไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ทำให้ผู้บริหารตัดสินใจผิดพลาดหรือเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น โดยเฉพาะการ Up-date ระบบงานหลักในภายหลัง โดย Supplier ไม่อาจดำเนินการได้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นหากมีการ Modify/Customize โปรแกรมหลัก ๆ

6. สูญเสียค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบงานโดยไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากผู้ใช้ข้อมูลไม่สามารถปฏิบัติงานตามที่ออกแบบไว้ได้ ทำให้ระบบงานนั้นถูกละเลยโดยสิ้นเชิง หรือทำให้การประกอบธุรกิจขององค์กรชะงักงันได้

สำหรับความเสียหายที่เกิดจากการ “Modify” และ/หรือ การ “Customize” นั้นก็อาจเกิด “จุดอ่อน” ตามมาได้มากมายและเกินกว่าที่ผู้บริหารและ Users จะคาดคะเนได้

7. 1) การตัดสินใจผิดพลาด
2) ผลตอบแทนการพัฒนา
3) ระบบงานใหม่ไม่คุ้มค่า
4) เสียประโยชน์จากการแข่งขัน
5) การประมวลผลหยุดชะงัก
6) ค่าใช้จ่ายมากเกินไป
7) การทุจริต
8) การประมวลผลผิดพลาด
9) การบันทึกบัญชีไม่ถูกต้อง

8. 1) สูญเสียค่าใช้จ่ายไปโดยไม่ได้รับประโยชน์คุ้มค่า
2) ใช้ IT ไม่สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจ/องค์กร
3) ใช้ IT ไม่คุ้มค่า

9. 1) การบันทึกข้อมูลทางบัญชีผิดพลาดก่อให้เกิดการทุจริต หรือทรัพย์สินสูญหายหรือถูกทำลาย
2) อาจมีความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

10. 1) สูญเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่ได้รับประโยชน์คุ้มค่าและอาจต้องพัฒนาระบบงานขึ้นใหม่ทั้งหมด แทนที่จะเปลี่ยนแปลงเพียงบางส่วน ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
2) เกิดปัญหาซ้ำซาก ทำให้องค์กรตกอยู่ในวังวนของปัญหาต่างๆ
3) ปัญหาอื่น ๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วเกือบทุกข้อ

11. 1) การบันทึกข้อมูลทางบัญชีอาจผิดพลาดสูญเสียค่าใช้จ่ายไปโดยไม่ได้รับผลประโยชน์คุ้มค่า และยังอาจทำให้ธุรกิจขององค์กรชะงักงันได้
2) การไม่เข้าใจผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศในภาพโดยรวม อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่าง ๆ ได้ ตามที่ได้สรุปมาในข้อต้น ๆ ได้ทั้งหมด

ครั้งหน้าไปต่อในส่วนของการจัดการและการควบคุมจุดอ่อนของการพัฒนาระบบงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศบางประการกันครับ


การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีจุดอ่อนและอาจนำไปสู่ความเสียหาย

กรกฎาคม 2, 2009

แน่นอนละครับว่า การปฏิบัติงานต่าง ๆ ทางด้านคอมพิวเตอร์ การพัฒนาระบบงาน รวมถึงจุดอ่อนของการพัฒนาระบบงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อาจก่อให้เกิดการทุจริตในรูปแบบต่าง ๆ ได้ ฉะนั้น ผมว่าการปฏิบัติงานในเชิงป้องกันปัญหาก่อนที่ปัญหาจะเกิดย่อมดีกว่าการที่ปล่อยให้เกิดปัญหาแล้วมาแก้ไขในภายหลังครับ

ขั้นตอนการพัฒนางานโดยองค์กรเองหรือว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญภายนอก รวมทั้งการ Customize หรือ Modify โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อการใช้งานทั่วไป อาจสร้างปัญหาให้องค์กรได้ โดยมีเหตุการณ์/การกระทำบางประการที่จะสร้างความเสียหายให้กับองค์กร ซึ่งมีแนวทางการควบคุมและจัดการกับความเสี่ยงได้ระดับหนึ่งดังนี้

ความเสี่ยงจากเหตุการณ์และ/หรือการกระทำ
1. การวิเคราะห์และประเมินผลได้และเสียที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายนอก ทั้งทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมต่าง ๆ ของบุคลากร การควบคุม การตรวจสอบ การบริหารความเสี่ยงที่ไม่เหมาะสม และไม่อาจตอบสนองความต้องการหรือกลยุทธ์และเป้าหมายที่เปลี่ยนแปลงไปได้ทันเวลา

2. ผู้บริหารระดับอาวุโสละเลยความรับผิดชอบและการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบงานโดยอ้างเหตุผลว่าเป็นเรื่องทางเทคนิค เกินกว่าจะทำความเข้าใจได้ และมิได้มอบหมายให้มีกระบวนการพัฒนางานอย่างมีระบบที่ต้องมีการประเมินงานทุกขั้นตอน

3. ผู้วิเคราะห์ระบบงานไม่เข้าใจระบบงานและความต้องการของผู้ใช้ข้อมูล (Users) ดีพอ รวมทั้งการใช้เทคนิคทางการประมวลข้อมูลที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้คู่มือการปฏิบัติงานและโปรแกรมงานขาดสาระที่สำคัญไปหรือเกินความเป็นจริง

4. การออกแบบระบบงานผิดพลาด ทั้ง ๆ ที่มีรายละเอียดความต้องการของผู้ใช้ข้อมูลและด้านเทคนิคครบถ้วน สาเหตุประการหนึ่งเนื่องมาจากการใช้วิจารณญาณที่ต่างกันของผู้ออกแบบระบบงานแต่ละคน

5. พนักงานที่มีส่วนในการออกแบบระบบงานไม่มีความสามารถ หรือในกรณีที่ซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้งาน ก็ได้มีการ Modify และ/หรือ Customize ระบบงานหลักที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนงานปฏิบัติงานของโปรแกรมหลักให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานแบบเดิม ๆ ที่ผู้ใช้เคยชิน

6. ผู้วิเคราะห์ระบบงานและผู้เขียนโปรแกรมออกแบบระบบงานและโปรแกรมตามความพอใจของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงผู้ใช้ข้อมูลซึ่งเป็น เจ้าของระบบงาน หรือคิดว่าตนเองเข้าใจความต้องการดีกว่าผู้ใช้ข้อมูลเอง จนบางครั้งการออกแบบระบบงานที่ยากเกินความสามารถของผู้ใช้ข้อมูลหรือ

ในกรณีองค์กรซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้งาน แต่ผู้ใช้ไม่เข้าใจ “function” การทำงานต่าง ๆ ดีพอ จึงมีความพยายามในการ “Modify” และ/หรือ “Customize” ระบบงานใหม่

7. การสื่อสารความเข้าใจระหว่างฝ่ายพัฒนาระบบงาน ฝ่ายผู้ใช้ข้อมูลและฝ่ายบริหารระดับสูงอยู่ในสภาพที่ใช้ไม่ได้ หรือต้องปรับปรุงอีกมาก

8. ไม่ได้วางหลักเกณฑ์ไว้ว่าเมื่อใดจึงควรจะหยุดการพัฒนาระบบนั้นได้แล้ว เช่น การคาดคะเนค่าใช้จ่ายไว้ต่ำเกินไปมาก ความต้องการของหน่วยงานเปลี่ยนแปลงไป หรือมีกฎหมายใหม่ ๆ เกิดขึ้น จะมีผลทำให้ได้รับผลประโยชน์ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เสียไป

9. มีช่องทางล่อใจให้พนักงานผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบงานบางคนพยายามสร้างวิธีการคดโกงหรือทำลายระบบงานนั้นระหว่างการพัฒนาระบบงาน เช่น ผู้เขียนโปรแกรมอาจเขียนบางส่วนของโปรแกรมให้สามารถล่วงล้ำการควบคุมของโปรแกรมระบบงานอื่นเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยวิธีนี้ผู้เขียนโปรแกรมไม่จำเป็นต้องเข้าไปในศูนย์คอมพิวเตอร์ก็สามารถฉ้อฉลข้อมูลได้

10. ระบบงานซึ่งไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขทางด้านเทคนิคหรือทางด้านค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับความต้องการขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่ง เท่ากับเป็นการบีบบังคับหรือกดให้องค์กรอยู่ในสภาพเช่นนั้นตลอดไม่สามารถปรับตัวให้ทันต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

11. 1) แนวความคิดและความเข้าใจของพนักงานผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบงานแต่ละคนแตกต่างกัน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่บรรลุเป้าหมาย
2) ไม่เข้าใจในภาพรวมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการไม่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของผลกระทบต่าง ๆ จากการเปลี่ยนแปลงไว้ด้วยกันทั่วทั้งองค์กร

ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้
1. สูญเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น เนื่องจากการพัฒนาระบบงานไม่คุ้มค่า (Unjustified systems) และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการ แข่งขันในทางธุรกิจอันเนื่องมาจากการพัฒนาระบบงานที่มิได้สนองตอบความต้องการขององค์กรที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง

2. นอกจากจะสูญเสียค่าใช้จ่ายและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านการแข่งขันแล้ว ยังทำให้ฝ่ายบริหารขององค์การตัดสินใจผิดพลาดด้วยจากระบบงานที่ไม่เอื้ออำนวยให้มี “สารสนเทศ” ที่เหมาะสมเพื่อการบริหารและการจัดการที่ดีด้วย

3. สูญเสียค่าใช้จ่ายและทำให้ฝ่ายบริหารตัดสินใจผิดพลาดได้ในขั้นตอนที่สำคัญ ๆ ซึ่งจะมีความเสียหายตามมาจากความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อีกมาก

4. การบันทึกข้อมูลทางบัญชีผิดพลาดจาก Logic หรือใช้ระบบการบัญชีที่ไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ทำให้ผู้บริหารตัดสินใจผิดพลาดหรือเสียค่าใช้จ่ายในการประมวลผลเกินความจำเป็น

5. การบันทึกข้อมูลทางบัญชีผิดพลาดหรือระบบบัญชีไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ทำให้ผู้บริหารตัดสินใจผิดพลาดหรือเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น โดยเฉพาะการ Up-date ระบบงานหลักในภายหลัง โดย Supplier ไม่อาจดำเนินการได้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นหากมีการ Modify/Customize โปรแกรมหลัก ๆ

6. สูญเสียค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบงานโดยไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากผู้ใช้ข้อมูลไม่สามารถปฏิบัติงานตามที่ออกแบบไว้ได้ ทำให้ระบบงานนั้นถูกละเลยโดยสิ้นเชิง หรือทำให้การประกอบธุรกิจขององค์กรชะงักงันได้

สำหรับความเสียหายที่เกิดจากการ “Modify” และ/หรือ การ “Customize” นั้นก็อาจเกิด “จุดอ่อน” ตามมาได้มากมายและเกินกว่าที่ผู้บริหารและ Users จะคาดคะเนได้

7. 1) การตัดสินใจผิดพลาด
2) ผลตอบแทนการพัฒนา
3) ระบบงานใหม่ไม่คุ้มค่า
4) เสียประโยชน์จากการแข่งขัน
5) การประมวลผลหยุดชะงัก
6) ค่าใช้จ่ายมากเกินไป
7) การทุจริต
8) การประมวลผลผิดพลาด
9) การบันทึกบัญชีไม่ถูกต้อง

8. 1) สูญเสียค่าใช้จ่ายไปโดยไม่ได้รับประโยชน์คุ้มค่า
2) ใช้ IT ไม่สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจ/องค์กร
3) ใช้ IT ไม่คุ้มค่า

9. 1) การบันทึกข้อมูลทางบัญชีผิดพลาดก่อให้เกิดการทุจริต หรือทรัพย์สินสูญหายหรือถูกทำลาย
2) อาจมีความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

10. 1) สูญเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่ได้รับประโยชน์คุ้มค่าและอาจต้องพัฒนาระบบงานขึ้นใหม่ทั้งหมด แทนที่จะเปลี่ยนแปลงเพียงบางส่วน ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
2) เกิดปัญหาซ้ำซาก ทำให้องค์กรตกอยู่ในวังวนของปัญหาต่างๆ
3) ปัญหาอื่น ๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วเกือบทุกข้อ

11. 1) การบันทึกข้อมูลทางบัญชีอาจผิดพลาดสูญเสียค่าใช้จ่ายไปโดยไม่ได้รับผลประโยชน์คุ้มค่า และยังอาจทำให้ธุรกิจขององค์กรชะงักงันได้
2) การไม่เข้าใจผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศในภาพโดยรวม อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่าง ๆ ได้ ตามที่ได้สรุปมาในข้อต้น ๆ ได้ทั้งหมด

ครั้งหน้าไปต่อในส่วนของการจัดการและการควบคุมจุดอ่อนของการพัฒนาระบบงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศบางประการกันครับ