ในปัจจุบันไม่มีข่าวอะไรที่อ่านแล้วสบายอกสบายใจเท่ากับข่าวหมีแพนด้า “หลินฮุ่ย” ที่เกิดลูกออกมาในประเทศไทย โดยการผสมเทียมได้สำเร็จ ทำให้ไทยเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีชื่อเสียงในด้านที่น่าชื่นชม ซึ่งนาน ๆ จะมีข่าวดีทำนองนี้สักครั้งหนึ่ง
เนื่องจากหมีแพนด้าเป็นสัตว์ที่แพร่พันธุ์ได้ยากมาก แม้ประเทศต่าง ๆ ที่ก้าวหน้าทางวิชาการจะจัดให้มีการผสมเทียมก็ประสบความสำเร็จได้น้อยมาก ดังนั้น ข่าว “หลินฮุ่ย” ออกลูกเป็นตัวแรกในประเทศไทยจึงเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก และทำให้คนไทยรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจไปตาม ๆ กัน
ข่าวคราวในช่วงนี้ก็คือการตั้งชื่อลูกหมีน้อย ที่เปิดโอกาสให้คนไทยร่วมตั้งชื่อเพื่อชิงรางวัล 1 ล้านบาท โดยผ่านทางไปรษณีย์บัตร ส่ง SMS เพื่อความมีส่วนร่วมกับเกมส์ที่น่ารักแบบนี้ และไม่รู้ว่าจะมีโอกาสดี ๆ แบบนี้อีกเมื่อไหร่
คุณสุวิทย์ คุณกิตติ รม ว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ไปเจรจาขอขยายเวลาให้หมีแพนด้าอยู่ในประเทศไทยนานขึ้น อย่างน้อยอีกปีครึ่ง ถึง 2 ปี ถึงที่ประเทศจีน และนายประเสริฐศักดิ์ บุญตระกูลทวี หัวหน้าโครงการวิจัยหมีแพนด้าประเทศไทยก็เพิ่งเดินทางกลับจากประเทศจีนไม่นานมานี้ ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้แทนของจีน ซึ่งประกอบด้วย รัฐมนตรีช่วยป่าไม้ อธิบดีกรมอนุรักษ์สัตว์ป่า ฯลฯ
การตั้งชื่อลูกหมีแพนด้า ได้ถูกคัดเลือกในเหลือเพียง 4 ชื่อ คือ 1.ไทจีน 2.หญิงหญิง 3.หลินปิง และ 4.ขวัญไท ซึ่งได้จากการคัดรายชื่อที่ส่งมาซ้ำกันมากที่สุด นำออกมาพิจารณาโดยคณะกรรมการที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมา และในวันที่ 5 สิงหาคม 2552 จะเป็นวันประกาศชื่อลูกหมีแพนด้าอย่างเป็นทางการ ว่าชื่อใดจะเป็นชื่อที่ได้รับการคัดเลือก

ลูกหมีแพนด้าน้อยที่เกิดจากหลินฮุ่ยกับช่วงช่วง ซึ่งกำลังจะได้ชื่อใหม่ในวันที่ 5 สิงหาคมนี้
แนวความคิดในการตั้งชื่อลูกหมีน้อยที่ควรคำนึงถึงผู้คนที่สนใจทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนผู้เป็นเจ้าของหมีแพนด้า ทั้ง 3 ตัว นี้ นั่นคือ หลักการและน่าจะเป็นหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการควรมีกรอบในการพิจารณาคัดเลือกชื่อที่เหมาะสมที่สุดเพื่อรับรางวัลชนะเลิศในการประกวดครั้งนี้
การที่ผมมีความคิดว่าควรจะนำ Stakeholders หรือผู้ที่มีผลประโยชน์ร่วมมาพิจารณาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศจีนที่เคยได้ออกความเห็นแบบไม่เป็นทางการกับรัฐมนตรีสุวิทย์ คุณกิตติ ระหว่างการเยี่ยมเยือนประเทศจีนว่า ชื่อลูกหมีน้อยที่จะตั้งน่าจะมีชื่อจีนอยู่ด้วย เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทย – จีน
นี่คือเหตุผลสำคัญมากที่ควรใช้เป็นหลักในการพิจารณาครั้งนี้ ซึ่งอาจเปรียบเทียบได้กับการบริหารและการจัดการใน Model ใหม่ทางธุรกิจที่เรียกย่อ ๆ ว่า GRC มาจากคำว่า Governance + Risk Management + Compliance ที่ต้องหลอมรวมการบริหารและการจัดการในลักษณะบูรณาการ โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ Stakeholders เป็นสำคัญ มิใช่เน้นเฉพาะผู้ถือหุ้นเท่านั้น และความหมายของ Stakeholder นี้มีความหมายกว้างไกลไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งในและระหว่างประเทศ สำหรับคำว่า Compliance ก็มีคำจำกัดความใหม่ให้หมายความรวมถึง การปฏิบัติตามมาตรฐาน หรือ Standard ระหว่างประเทศ รวมทั้งการมีจริยธรรมและจรรยาบรรณที่เหมาะสม ++ เพื่อการขับเคลื่อน Governance โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ++ ต่อไป
เรื่อง GRC นี้ เป็นเรื่องสำคัญที่ผมจะนำมาขยายความในโอกาสที่เหมาะสมต่อไปนะครับ ทั้งนี้เพราะ GRC ในปัจจุบันนี้เป็น First Priority ของประเทศชั้นนำทั่วโลก เพราะเป็นการลดช่องว่างในภาคการบริหารและการจัดการระดับสูงที่ขาดการประสานงานและการบูรณาการการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ++
เมื่อคำนึงถึงหลักการย่อ ๆ ข้างต้นดังกล่าวแล้ว ผมจึงขออนุญาตที่จะออกความเห็นเป็นการส่วนตัวล่วงหน้าว่า ชื่อที่เหมาะสมที่น่าจะได้รับการคัดเลือกเป็นชื่อลูกหมีน้อยแพนด้าในประเทศไทยตัวแรกก็คือ “หญิงหญิง” ทั้งนี้มีเหตุผลโดยย่อดังนี้
1. ชื่อหมีแพนด้าที่มีอยู่ทั่วโลกในปัจจุบันเป็นชื่อ 2 พยางค์ และทั้ง 2 พยางค์นี้ก็เป็นพยางค์ที่ซ้ำกันและเหมือนกันเป็นส่วนมาก เช่น ช่วงช่วง พ่อของลูกหมีแพนด้าผู้โด่งดังตัวนี้
2. ชื่อ “หญิงหญิง” ซึ่งอาจสะกดเป็นอังกฤษว่า “Ying Ying” มีความละม้ายคล้ายกับภาษาจีนที่ออกเสียงได้ว่า “หยิง – หยิง” และหากคนจีนอ่านคำภาษาอังกฤษข้างต้น โดยใช้สำเนียงจีนก็จะได้ชื่อแบบจีน ๆ เต็มรูปแบบ ในขณะเดียวกันภาษาไทยที่ใช้คำว่า “หญิงหญิง” ก็เป็นคำที่อ่านแล้วได้ความในภาษาไทย
3. “หญิงหญิง” หรือ “Ying Ying” เป็นคำที่อ่านและเข้าใจได้ทั้ง 3 ภาษาในคำ ๆ เดียวกัน และน่าจะเป็นที่พอใจของ Stakeholders ทั้งในประเทศและระดับประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน
4. สำหรับชื่อรอง ๆ ลงไป เช่น หลินปิง ผมเข้าใจว่าจะใช้เรียกขานในต่างประเทศได้ไม่สะดวกและจำได้ไม่ง่ายเมื่อเทียบกับชื่อ “Ying Ying” และไม่สามารถอธิบายตามหลักการข้างต้นได้ดีนัก
กรณีของลูกหมีน้อยนี้ ผมเพียงจะให้ข้อสังเกตในแง่มุมของการบริหารเชิงวิชาการ ในมุมมองที่น่าสนใจที่เป็นเรื่องน่ารัก ๆ โดยเอาลูกหมีน้อยมาเป็นบทเรียนก็คือ การบริหารและการจัดการใด ๆ ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่สักเพียงใด หรือเรื่องเล็กน้อยเช่นการตั้งชื่อลูกหมี ก็ควรจะคำนึงถึงหลักการที่มีเป้าประสงค์ไปยัง Stakeholders หรือผู้มีผลประโยชน์ร่วมเป็นสำคัญนะครับ
โพสต์โดย Metha Suvanasarn