สวัสดีครับ เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับแนวทางการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร ที่ตอนนี้ผมได้นำเสนอกระบวนการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน ตามหลัก COSO – ERM ซึ่งกระบวนการทั้ง 8 ขั้นตอนนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญหลักในการบริหารความเสี่ยงเลยก็ว่าได้ และที่กำลังนำเสนออยู่นี้ก็เข้าสู่กระบวนการในขั้นตอนที่ 4 คือ การประเมินความเสี่ยง ที่ได้เล่าสู่กันฟังไปบ้างแล้ว วันนี้ผมมีวิธีการและเทคนิคดี ๆ ในการประเมินความเสี่ยงในเชิงปริมาณและคุณภาพมาเล่าสู่กันฟังต่อจากครั้งที่แล้วครับ
วิธีการและเทคนิคเชิงปริมาณและคุณภาพ
วิธีการประเมินค่าความเสี่ยงขององค์กรประกอบด้วยการรวมตัวกันของเทคนิคเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ผู้บริหารมักใช้เทคนิคการประเมินเชิงคุณภาพในกรณีที่ความเสี่ยงไม่สามารถใช้กระบวนการเชิงปริมาณได้ หรือเมื่อไม่สามารถหาข้อมูลที่เพียงพอและน่าเชื่อถือสำหรับการประเมินค่าเชิงคุณภาพได้ หรือข้อมูลที่ได้มาหรือนำมาวิเคราะห์ไม่คุ้มค่า เทคนิคเชิงปริมาณนำมาซึ่งความถูกต้องแม่นยำมากกว่า และใช้ในกิจกรรมที่ซับซ้อนกว่าเพื่อเพิ่มเติมเทคนิคเชิงคุณภาพ
เพื่อให้ได้รับความเห็นชอบในความน่าจะเกิดและผลกระทบของการใช้เทคนิคการประเมินค่าเชิงคุณภาพ องค์กรอาจใช้วิธีการเดียวกันกับการแยกแยะเหตุการณ์ ดังเช่น การสัมภาษณ์และการประชุมเชิงปฏิบัติการ กระบวนการประเมินค่าความเสี่ยงด้วยตนเอง จับภาพผู้เข้าร่วมประชุมจากความน่าจะเกิดและผลของเหตุการณ์ในอนาคตโดยใช้ทั้งเครื่องวัดเชิงตัวเลขและการพรรณนา
ความจำเป็นขององค์กรในการใช้เทคนิคการประเมินค่าที่ไม่ธรรมดากับหน่วยธุรกิจต่าง ๆ หรือ ทางเลือกของเทคนิคจะสะท้อนความต้องการความถูกต้องแม่นยำ และวัฒนธรรมของหน่วยธุรกิจ อย่างไรก็ตามวิธีการที่แต่ละธุรกิจนำไปใช้จะช่วยในการประเมินความเสี่ยงในระหว่างองค์กร
ผู้บริหารสามารถสืบค้นมาตรวัดผลกระทบเชิงคุณภาพองค์กรของเหตุการณ์ต่อเมื่อการประเมินความเสี่ยงของเหตุการณ์ได้แสดงออกในเชิงปริมาณ ตัวอย่างเช่น ผลกระทบของผลกำไรสุทธิของการเปลี่ยนแปลงราคาถูกคำนวณระหว่างหน่วยธุรกิจ และกำหนดผลกระทบขององค์กรโดยรวม
การผสมระหว่างการวัดเชิงปริมาณและคุณภาพนั้นผู้บริหารได้พัฒนาการประเมินค่าเชิงคุณภาพในระหว่างการวัดผลทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณด้วยผลลัพธ์ ซึ่งประกอบด้วยการประเมินค่าที่อธิบายได้ในเชิงคุณภาพ การสร้างคำศัพท์ของความน่าจะเกิดและผลลัพธ์ขององค์กรและกลุ่มของความเสี่ยงที่ใช้สำหรับการวัดเชิงคุณภาพช่วยอำนวยความสะดวกให้ส่วนประกอบของการประเมินค่าความเสี่ยงต่าง ๆ เหล่านั้น
ความสัมพันธ์กันของเหตุการณ์
ผู้บริหาร องค์กร อาจประเมินว่าเหตุการณ์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ลำดับเหตุการณ์ได้รวมกันและสร้าง Likelihood หรือผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญที่ใด ในขณะที่ผลของเหตุการณ์เดียวอาจเบาบาง ลำดับเหตุการณ์อาจมีผลกระทบที่สำคัญมากกว่า อาจใช้การทดสอบที่หนักหน่วงในการประเมินค่าผลกระทบของเหตุการณ์สุดท้ายและใช้การวิเคราะห์ภาพเหตุการณ์ในการประเมินค่าผลกระทบของเหตุการณ์จำนวนมาก หากว่าเหตุการณ์ไม่มีความสัมพันธ์กันโดยตรง
ผู้บริหารต้องประเมินค่าเหตุการณ์แยกกัน ยกตัวอย่าง บริษัทที่มีธุรกิจต่างกัน มีการผันผวนของราคาที่แตกต่างกัน จะประเมินความเสี่ยงซึ่งสัมพันธ์กับตลาดแยกจากกัน ดังเช่น ราคาของเนื้อและราคาพลังงาน ในการประเมินค่าเช่นนี้อาจถูกนำเสนอในรูปกราฟแสดงอัตราความเป็นไปได้และผลกระทบหรือเสนอในรูปแบบอื่น ๆ
ความเสี่ยงซึ่งเกิดขึ้นเหมือน ๆ กันในธุรกิจจำนวนมาก ผู้บริหารอาจประเมินค่าและแยกแยะกลุ่มเหตุการณ์เอาไว้ในกลุ่มเหตุการณ์ทั่วไป ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยของรัฐบาลซึ่งมีผลกระทบกับหน่วยธุรกิจของบริษัทที่ให้บริการด้านการเงิน
ความสัมพันธ์กันระหว่างความเสี่ยงและผลกระทบเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญของผู้บริหาร การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพต้องการการประเมินค่าความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงธรรมชาติและความเสี่ยงที่ตามมาจากการตอบสนองความเสี่ยง
การประเมินความเสี่ยงจะต้องพิจารณาว่าเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้น เหตุการณ์ไหนมีผลกระทบต่อการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์กร โดยฝ่ายบริหารประเมินและวิเคราะห์ความเสี่ยงโดยพิจารณาจาก
1. ความน่าจะเกิด (Likelihood) คือโอกาสความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์ที่ความเสี่ยงนั้นจะเกิดหรือความถี่ที่เหตุการณ์จะเกิด
2. ส่วนผลกระทบ (Impact) หมายถึง ความเสียหายที่จะเกิดจากเหตุการณ์ความเสี่ยงนั้น ความน่าจะเกิดบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น สามารถวัดเป็นมูลค่าที่คาดหวังหรือมูลค่าที่เลวร้ายที่สุด หรืออาจแสดงเป็นปริมาณ เช่น สูง (High) กลาง (Medium) และต่ำ (Low) หรือการวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ ความถี่ที่จะเกิด เป็นต้น
การประเมินความเสี่ยงเป็นเรื่องที่ยากและท้าทาย ฝ่ายจัดการต้องตระหนักว่าความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นต่ำและมีผลกระทบต่อองค์กรต่ำไม่ต้องนำมาพิจารณา ในทางตรงกันข้ามหากความเสี่ยงที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสูงและมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อองค์กร ฝ่ายจัดการต้องนำมาพิจารณาและให้ความสนใจ
การประเมินความเสี่ยง ฝ่ายจัดการต้องพิจารณาผลกระทบทั้งเหตุการณ์ที่คาดไว้และเหตุการณ์ที่ไม่คาดไว้ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ส่วนใหญ่เหตุการณ์ต่าง ๆ มักเป็นเหตุการณ์ประจำและเกิดขึ้นอีกครั้งและเหตุการณ์ดังกล่าวถูกนำมาอยู่ในโปรแกรมการบริหารจัดการแล้ว
ส่วนเหตุการณ์ที่ไม่คาดไว้ แม้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดต่ำแต่มีผลกระทบที่เป็นนัยสำคัญ เหตุการณ์ดังกล่าวจะถูกตอบสนองเป็นแต่ละเหตุการณ์ไป ทั้งเหตุการณ์ที่คาดไว้และเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดไว้ล้วนมีผลกระทบต่อการดำเนินกลยุทธ์และมีผลต่อการบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์กร
การประเมินความเสี่ยงถูกนำมาใช้กับความเสี่ยงพื้นฐานขององค์กรหรือความเสี่ยงจากลักษณะธุรกิจ (Inherent risk) เมื่อการตอบสนองความเสี่ยงถูกพัฒนาขึ้น ฝ่ายจัดการจะใช้เทคนิคการประเมินความเสี่ยงในการจัดการกับความเสี่ยงที่เหลืออยู่ (Residual Risk)
โพสต์โดย Metha Suvanasarn 



